- หน้า 99 -
บุคคลปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เป็นผู้งดเว้น จากการลักทรัพย์ด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการลักทรัพย์ เป็นผู้งดเว้นจากการ ประพฤติผิดในกามด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม เป็นผู้งดเว้น จากการพูดเท็จด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการพูดเท็จ เป็นผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้น จากการดื่ม น้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท บุคคลเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน แต่ไม่ ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่นอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น แต่ไม่ ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนอย่างไรบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง แต่ชักชวนผู้อื่นให้ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ เป็นผู้ไม่งดเว้นจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอัน เป็น ที่ตั้งแห่งความประมาทด้วยตนเอง แต่ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมาคือสุรา และเมรัยอัน เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่นแต่ไม่ ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ ตนอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ ผู้อื่นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็น ผู้ไม่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง ทั้งไม่ชักชวนผู้อื่น ให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ เป็นผู้ไม่งดเว้นจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่ง ความ ประมาทด้วยตนเอง ทั้งไม่ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้ง แห่งความประมาท บุคคลเป็นผู้ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ทั้งไม่ปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ผู้อื่นอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ทั้งเพื่อประโยชน์ผู้อื่นอย่างไร บุคคล บางคนในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้นจากการ ฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง ทั้งชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ เป็นผู้งดเว้น จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทด้วยตนเอง ทั้งชักชวน ผู้อื่นให้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความ ประมาท บุคคลเป็นผู้ปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ตน ทั้งเพื่อประโยชน์ผู้อื่นอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ จบสูตรที่ ๙ โปตลิยสูตร- หน้า 100 -
หนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามโปตลิยปริพาชกว่า ดูกรโปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้ มี ปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควร ติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร เป็นผู้ไม่กล่าวสรรเสริญบุคคลผู้ควรสรรเสริญตามความจริง โดยกาลอันควรจำพวก ๑ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวสรรเสริญบุคคลผู้ควรสรรเสริญตาม ความเป็นจริง โดยกาลอันควร ไม่กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอัน ควรจำพวก ๑ บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดย กาลอันควรทั้งไม่กล่าวสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรจำพวก ๑บุคคล บางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ทั้งเป็นผู้ กล่าวสรรเสริญบุคคลผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควรจำพวก ๑ ดูกรโปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ดูกรโปตลิยะ บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้แล ท่านชอบใจบุคคล จำพวกไหนว่า เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่า โปตลิยปริพาชกกราบทูลว่า ท่านพระโคดมบุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวติเตียนบุคคล ผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร แต่ไม่กล่าวสรรเสริญบุคคลผู้ควรสรรเสริญ ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรจำพวก ๑ ฯลฯ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวติเตียนบุคคล ผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งเป็นผู้กล่าวสรรเสริญบุคคลผู้ควรสรรเสริญตามความ เป็นจริง โดยกาลอันควรจำพวก ๑ บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลกบรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ ข้าพเจ้าชอบใจบุคคลผู้ไม่กล่าวติเตียน บุคคลผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร และไม่กล่าวสรรเสริญบุคคลที่ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรว่า เป็นผู้งามกว่า และ ประณีตกว่าบุคคล ๔ จำพวกนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมีความงาม คือ อุเบกขา ฯ พ. ดูกรโปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน ฯลฯ บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ บุคคลผู้กล่าวติเตียนบุคคลที่ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร และผู้สรรเสริญบุคคลที่ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรนี้ เป็นผู้งามกว่า และ ประณีตกว่าบุคคล ๔จำพวกนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมีความงาม คือ ความเป็นผู้รู้จักกาลใน อันควรติเตียนและสรรเสริญนั้นๆ ฯ โป. ท่านพระโคดม บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯลฯท่านพระโคดม บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ ข้าพเจ้าชอบใจบุคคลที่กล่าวติเตียนบุคคลที่ควรติเตียนตามความเป็นจริง- หน้า 101 -
โดยกาลอันควร และกล่าวสรรเสริญบุคคลที่ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรว่า เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่าบุคคล ๔ จำพวกนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมีความงาม คือ ความเป็นผู้รู้กาลในอันติเตียนและสรรเสริญนั้นๆ ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้า แต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ใน เวลามืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม กับทั้งพระธรรม และภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ จบสูตรที่ ๑๐ จบอสุรวรรคที่ ๕ _______ รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. อสุรสูตร ๒. สมาธิสูตรที่ ๑ ๓. สมาธิสูตรที่ ๒ ๔. สมาธิสูตรที่ ๓ ๕. ฉลาวาตสูตร ๖. ราคสูตร ๗. นิสันติสูตร ๘. อัตตหิตสูตร ๙. สิกขาสูตร ๑๐. โปตลิยสูตร ฯ จบทุติยปัณณาสก์ _______