- หน้า 251 -
เพียร มีโอตตัปปะ ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ตลอดกาลเป็นนิตย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้อภิชฌาพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะของภิกษุผู้ยืนอยู่ เป็นธรรมชาติปราศไปแล้ว แล้ว...ถ้าแม้อภิชฌา พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ ของภิกษุผู้นั่งอยู่เป็นธรรมชาติปราศ ไปแล้ว ... ถ้าแม้อภิชฌา พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะของภิกษุผู้นอนอยู่ ตื่นอยู่ เป็น ธรรมชาติปราศไปแล้ว อันภิกษุผู้นอนอยู่ ตื่นอยู่ละวิจิกิจฉาได้แล้ว ปรารภความเพียร ไม่ ย่อหย่อน ตั้งสติไว้มั่น ไม่หลงลืมกายระงับแล้ว ไม่ระส่ำระสาย ตั้งจิตไว้มั่น มีอารมณ์อัน เดียว ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุแม้ผู้นอนอยู่ ตื่นอยู่เป็นอยู่แล้วอย่างนี้ เรากล่าวว่า เป็นผู้มี ความเพียรมีโอตตัปปะ ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ตลอดกาลเป็นนิตย์ ฯ ภิกษุเพียรอยู่ พึงเดิน ยืน นั่ง นอน คู้เข้าเหยียดออกซึ่งอวัยวะมี มือและเท้าเป็นต้นนี้ อนึ่งภิกษุพิจารณาโดยชอบซึ่งความเกิดขึ้น และ ความเสื่อมไปแห่งธรรมขันธ์ในเบื้องบนเบื้องขวาง เบื้องต่ำ จนตลอด ภูมิเป็นที่ไปแห่งสัตว์ผู้สัญจรไปบนแผ่นดิน พระอริยเจ้าทั้งหลาย มี พระพุทธเจ้าเป็นต้นได้กล่าวภิกษุผู้มีปรกติอยู่อย่างนั้น มีความเพียร มีความประพฤติสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน มีญาณทัศนวิสุทธิสมควรแก่ธรรมเป็น เครื่องสงบใจ ศึกษาอยู่ มีสติทุกเมื่ออย่างนั้นว่า เป็นผู้มีใจเด็ดเดี่ยว ตลอดกาลเป็นนิตย์ ฯ จบสูตรที่ ๑๒ ๑๓. โลกสูตร- หน้า 252 -
พระตถาคตตรัสรู้แล้ว ฉะนั้น บัณฑิตจึงกล่าวว่าพระตถาคตดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคต ย่อมตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในราตรีใดและย่อมปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในราตรีใด ย่อมตรัสบอกแสดงซึ่งพุทธพจน์อันใดในระหว่างนี้ พุทธพจน์นั้นทั้งหมด ย่อม เป็นอย่างนั้นนั่นแลไม่เป็นอย่างอื่น ฉะนั้น บัณฑิตจึงกล่าวว่า พระตถาคต ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตตรัสอย่างใด ทำอย่างนั้น ทำอย่างใด ตรัสอย่างนั้น เพราะเหตุดังนั้นบัณฑิตจึงกล่าว ว่า พระตถาคต ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตทรงครอบงำโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ อันใครๆ ครอบงำไม่ได้ ทรงเห็น โดยถ่องแท้ ยังอำนาจให้เป็นไปเพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงกล่าวว่า พระตถาคต ฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ ดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าทรงรู้โลกทั้งหมด ในโลกทั้งปวงด้วยพระปัญญาอันยิ่ง ตาม ความเป็นจริง ทรงพรากแล้วจากโลกทั้งหมด ไม่มีผู้เปรียบในโลกทั้ง ปวง เป็นนักปราชญ์ ทรงครอบงำมารทั้งหมด สังขารทั้งหมด ทรง ปลดเปลื้องกิเลสเครื่องร้อยรัดได้ทั้งหมด ความสงบอย่างยวดยิ่ง คือ นิพพาน ซึ่งไม่มีภัยแต่ไหนๆ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ทรงถูกต้องแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ทรงมีอาสวะสิ้นแล้ว ไม่ทรงมีทุกข์ ทรงตัด ความสงสัยได้แล้ว ทรงถึงความสิ้นไปแห่งกรรมทั้งหมด ทรงน้อมไป แล้วในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ชื่อว่า เป็นพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ชื่อว่าเป็นสีหะผู้ยอด เยี่ยม ทรงประกาศพรหมจักรแก่โลกพร้อมทั้งเทวโลก เพราะเหตุดังนั้น เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะย่อมมาประชุมกัน น้อมนมัสการพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีพระคุณใหญ่ ผู้ปราศจากความ ครั่นคร้าม บรรดาบุคคลผู้ฝึกหัดอยู่ พระพุทธเจ้าผู้ทรงฝึกแล้ว เป็น ผู้ประเสริฐสุด บรรดาบุคคลผู้สงบอยู่พระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณ ผู้ สงบแล้ว เป็นผู้ประเสริฐสุดบรรดาบุคคลผู้พ้นอยู่ พระพุทธเจ้าทรง พ้นแล้วเป็นผู้เลิศบรรดาบุคคลผู้ข้ามอยู่ พระพุทธเจ้าผู้ทรงข้ามพ้น แล้ว เป็นผู้ประเสริฐ เพราะเหตุนั้นแล เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย- หน้า 253 -
ย่อมนอบน้อมพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ผู้มีพระคุณใหญ่ ผู้ปราศจากความ ครั่นคร้ามด้วยคิดว่า บุคคลผู้เปรียบด้วยพระองค์ย่อมไม่มีในโลกพร้อม ทั้งเทวโลก ฯ เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ จบสูตรที่ ๑๓ จบจตุกกนิบาต ________ รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. พราหมณสูตร ๒. จัตตาริสูตร ๓. ชานสูตร ๔. สมณสูตร ๕. ศีลสูตร ๖. ตัณหาสูตร ๗. พรหมสูตร ๘. พหุการสูตร ๙. กุหนาสูตร ๑๐. ปุริสสูตร ๑๑. จรสูตร ๑๒. สัมปันนสูตร ๑๓. โลกสูตร ฯ จบอิติวุตตกะ