สุตันตปิฎกไทย

นวก.อ. 23/450-453/243. เล่ม 23, หน้า 349 - 350, ข้อ 243

- หน้า 349 -

ชนเหล่าอื่นกล่าวภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ยังสลัดตนไม่พ้นไปจากโลก ดูกรพราหมณ์เป็นความจริง แม้เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุนี้ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ยังสลัด ตนไม่พ้นไปจากโลก ฯ อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุ สัญญาเวทยิตนิโรธ อาสวะของเธอสิ้นรอบแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา ดูกรพราหมณ์ ภิกษุนี้ เรียกว่า ได้ถึงที่สุดแห่งโลกแล้ว และอยู่ในที่สุดแห่งโลก ข้ามพ้นตัณหาเครื่องข้องในโลกได้แล้ว ฯ จบสูตรที่ ๗ เทวสูตร

[๒๔๓]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว สงครามระหว่างเทวดากับอสูรได้ประชิดกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสงครามครั้งนั้น พวกอสูรชนะ พวกเทวดาแพ้ และพวกเทวดาที่ แพ้ได้พากันหนีไป พวกอสูรลุกไล่ติดตามมุ่งไปทางทิศอุดร ครั้งนั้นแล พวกเทวดาได้มีความคิด อย่างนี้ว่า พวกอสูรลุกไล่ติดตามมาจำเราจะทำสงครามกับพวกอสูรครั้งที่ ๒ อีก ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่ ๒ พวกเทวดาก็ทำสงครามกับพวกอสูรอีก พวกอสูรชนะ พวกเทวดาแพ้ และพวกเทวดาที่แพ้ได้พากันหนีไป พวกอสูรลุกไล่ติดตามมุ่งไปทางทิศอุดร ครั้งนั้นแล พวกเทวดาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พวกอสูรลุกไล่ติดตามมา จำเราจะทำสงครามกับพวก อสูรครั้งที่ ๓ อีก ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่ ๓ พวกเทวดาทำสงครามกับพวกอสูรอีก พวกอสูรชนะ พวกเทวดาแพ้ และพวกเทวดาที่แพ้กลัวพากันหนีเข้าไปในเทพบุรีก็แหละพวกเทวดาที่หนีเข้า ไปเทพบุรี ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ พวกเรามีตนได้ที่พึ่งแล้ว พวกอสูรจะทำอะไรเราไม่ได้ แม้พวกอสูรก็มีความคิดอย่างนี้ว่าบัดนี้ พวกเทวดามีตนได้ที่พึ่งแล้ว พวกเราจะทำอะไรไม่ได้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว สงครามระหว่างเทวดากับอสูรได้ประชิดกัน ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็ในสงครามครั้งนั้น พวกเทวดาชนะ พวกอสูรแพ้ และพวกอสูรที่แพ้ได้กัน หนีไป พวกเทวดาลุกไล่ติดตามมุ่งไปทางทิศทักษิณครั้งนั้นแล พวกอสูรได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเทวดาลุกไล่ติดตามมา จำเราจะทำสงครามกับพวกเทวดาแม้ครั้งที่ ๒ อีก ฯ

- หน้า 350 -

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่ ๒ พวกอสูรก็ทำความกับพวกเทวดาอีก พวกเทวดาชนะ พวกอสูรแพ้ และพวกอสูรที่แพ้ได้พากันหนีไป พวกเทวดาลุกไล่ติดตามมุ่งไปทางทิศทักษิณ ครั้งนั้นแล พวกอสูรได้มีความคิดอย่างนี้ว่าพวกเทวดาลุกไล่ติดตามมา จำเราจะทำสงครามกับ พวกเทวดาแม้ครั้งที่ ๓ อีก ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่ ๓ พวกอสูรก็ทำสงครามกับพวกเทวดาอีกพวกเทวดาก็ชนะ พวกอสูรแพ้ และพวกอสูรที่แพ้ได้พากันหนีเข้าไปยังอสูรบุรีก็แหละพวกอสูรที่พากันหนีเข้าไป ในอสูรบุรี ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ พวกเรามีตนได้ที่พึ่งแล้ว พวกเทวดาจะทำอะไรเราไม่ได้ แม้พวกเทวดาก็มีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ พวกอสูรมีตนเป็นที่พึ่งแล้ว พวกเราทำอะไรไม่ได้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล สมัยใด ภิกษุสงัดจากกาม ...บรรลุปฐมฌาน ... สมัยนั้น ภิกษุมีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ เรามีตนได้ที่พึ่งแล้วมารจะทำอะไรเราไม่ได้ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย แม้มารผู้ลามกก็มีความคิดอย่างนี้ว่าบัดนี้ ภิกษุมีตนได้ที่พึ่งแล้ว เราจะทำอะไรไม่ได้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯบรรลุ จตุตถฌาน ฯลฯ สมัยนั้น ภิกษุมีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ เรามีตนได้ที่พึ่งแล้ว มารจะทำอะไร เราไม่ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้มารผู้ลามกก็มีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ ภิกษุมีตนได้ที่พึ่งแล้ว เราจะทำอะไรไม่ได้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง บรรลุอากาสา นัญจายตนฌาน ... สมัยนั้น ภิกษุ นี้เรียกว่า ได้ทำมารให้เป็นที่สุดให้ติดตามไม่ได้ ปิดตา มารสนิท มารมองไม่เห็น ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ฯลฯ บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ฯลฯบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตน ฌาน ฯลฯ บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ อาสวะของเธอสิ้นรอบแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา สมัยนั้น ภิกษุนี้เรียกว่า ได้กระทำมารให้เป็นที่สุด ให้ติดตามไม่ได้ ปิดตามารสนิท มารมองไม่เห็น ฯ จบสูตรที่ ๘
สุตันตปิฎกไทย: - นวก.อ. 23/450-453/243.