พระสุตตันตปิฎกไทย: 32/100/43
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
อุปาลีวรรคที่ ๕
อุปาลีเถราปทานที่ ๑ (๔๑)
ว่าด้วยพระอุบาลีปรารภกรรมของตน
[๔๓] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยพระขีณาสพหนึ่งพัน
พระองค์ทรงประกอบความสงัด เสด็จไปเพื่ออยู่ในที่ลับ เรานุ่งห่มหนัง
สัตว์ ถือไม้เท้าสามง่ามเที่ยวไป ได้พบพระผู้มีพระภาคผู้นำของโลก
แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จึงทำหนังสัตว์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี
เหนือเศียรเกล้า ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า แล้วชมเชยพระองค์ผู้นำ
ของโลกว่า สัตว์ทั้งหลายที่เกิดในไข่ เกิดในเถ้าไคล เกิดผุดขึ้น เกิด
ในครรภ์ และนกมีกาเป็นต้นทั้งหมด ย่อมเที่ยวไปในอากาศทุกเมื่อ
ฉันใด สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีสัญญาก็ตาม ไม่มีสัญญาก็ตาม สัตว์
เหล่านั้น ก็ฉันนั้น ย่อมเข้าไปภายในพระญาณของพระองค์ทั้งหมด อนึ่ง
กลิ่นหอมอันมีอยู่ที่ภูเขา ณ ภูเขาหิมวันต์อันเป็นภูเขาสูงสุด กลิ่นหอม
ทั้งหมดนั้น ย่อมไม่ถึงแม้ส่วนเสี้ยวในศีลของพระองค์ โลกนี้พร้อมทั้ง
เทวโลก แล่นไปเข้าความมืดมนใหญ่ โลกกำจัดความมืดได้ส่งแสงโชติ
ช่วงอยู่ เพราะพระญาณของพระองค์ เปรียบเหมือนพระอาทิตย์อัสดงคต
แล้ว โลกก็ถึงความมืด ฉันใด เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ สัตว์โลก
ถึงความมืด ฉันนั้น (อนึ่ง) เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์อุทัย ย่อม
ขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันใด พระองค์ผู้เป็นพระพุทธเจ้าอันประเสริฐ
สุด ก็ขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันนั้น พระองค์ทรงส่งพระองค์ไปเพื่อ
ความเพียร ได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ทรงยังหมู่ชน
เป็นอันมากให้ยินดีด้วยการปรารภกรรมของพระองค์ พระมหามุนีพระนาม
ว่าปทุมุตระผู้เป็นนักปราชญ์ ทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงอนุโมทนา แล้ว
เสด็จเหาะขึ้นในอากาศ ดังพระยาหงส์ในอัมพร พระสัมพุทธเจ้าผู้แสวง