พระสุตตันตปิฎกไทย: 16/11/30 31 32      
      สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
      
     
 
    
        
          
            วิญญาณมีสังขารเป็นเหตุ มี สังขารเป็นที่ตั้งขึ้น มีสังขารเป็นกำเนิด มีสังขารเป็นแดนเกิด ก็สังขาร
เหล่านี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด  สังขารทั้งหลาย
มีอวิชชาเป็นเหตุ มีอวิชชาเป็นที่ตั้งขึ้น มีอวิชชาเป็นกำเนิด มี    อวิชชาเป็นแดนเกิด ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนา
มาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกอง ทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
 [๓๐] ก็เพราะอวิชชานั้นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขาร   จึงดับ เพราะ
สังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
		            จบสูตรที่ ๑
		           ๒. ผัคคุนสูตร
 [๓๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย   อาหาร ๔ เหล่านี้ ย่อมเป็นไป
เพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว หรือเพื่อ   อนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด อาหาร ๔
 เป็นไฉน คือ (๑) กวฬีการาหารหยาบหรือละเอียด (๒) ผัสสาหาร (๓) มโนสัญเจตนาหาร
(๔) วิญญาณาหาร    อาหาร ๔ เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว
หรือ เพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ
 [๓๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระโมลิยผัคคุนะได้   กราบทูลพระผู้มี
พระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมกลืนกินวิญญาณาหาร    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ตั้งปัญหา
ยังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่า กลืนกิน
 [วิญญาณาหาร] ถ้าเรากล่าวว่ากลืนกิน
 [วิญญาณาหาร] ควร
ตั้งปัญหาในข้อนั้นได้ว่า  พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมกลืนกิน
 [วิญญาณาหาร] แต่เรามิได้กล่าว
อย่างนั้นผู้ใดพึงถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า วิญญาณาหาร  ย่อมมีเพื่อ
อะไรหนอ อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่าวิญญาณาหารย่อมมีเพื่อความ
บังเกิดในภพใหม่ต่อไป เมื่อวิญญาณาหารนั้นเกิด  มีแล้ว จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็น
ปัจจัย จึงมีผัสสะ ฯ