พระสุตตันตปิฎกไทย: 24/112/68

สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
เล่ม 24
หน้า 112
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จลุกขึ้นแล้ว ตรัสชมท่านพระสารีบุตรว่า ดีละ ดีละ สารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่มีหิริไม่มีโอตตัปปะ ไม่มีวิริยะ ไม่มี ปัญญาในกุศลธรรมทั้งหลาย กลางคืนหรือกลางวันของผู้นั้นย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ความ เสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลายไม่หวังได้ความเจริญเลย ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนกลางคืน หรือกลางวันของพระจันทร์ในกาลปักษ์ย่อมผ่านพ้นไป พระจันทร์นั้นย่อมเสื่อมจากวรรณะ ย่อม เสื่อมจากมณฑล ย่อมเสื่อมจากแสงสว่าง ย่อมเสื่อมจากด้านยาวและกว้างฉันใด ดูกรสารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่มีหิริ ฯลฯไม่มีปัญญาในกุศลธรรมทั้งหลาย กลางคืนหรือกลางวันของผู้นั้น ย่อมผ่านพ้นไปผู้นั้นพึงหวังได้ความเสื่อม ไม่หวังได้ความเจริญ เลย ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรสารีบุตร คำว่าบุคคลผู้ไม่มีศรัทธานี้ เป็นความเสื่อม คำว่าบุคคล ไม่มีหิริ ...ผู้ไม่มีโอตตัปปะ ... ผู้เกียจคร้าน ... ผู้มีปัญญาทราม ... ผู้มักโกรธ ...ผู้ผูกโกรธ ... ผู้มีความปรารถนาลามก ... ผู้มีมิตรชั่ว ... ผู้เป็นมิจฉาทิฐินี้เป็นความเสื่อม ฯ ดูกรสารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งมีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริมีโอตตัปปะ มีวิริยะ มีปัญญาในกุศลธรรมทั้งหลาย กลางคืนหรือกลางวันของผู้นั้นย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ ความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ความเสื่อมเลย ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนกลางคืน หรือกลางวันของพระจันทร์ในปักษ์ข้างขึ้นย่อมผ่านพ้นไป พระจันทร์นั้นย่อมเจริญด้วยวรรณะ ย่อมเจริญด้วยมณฑล ย่อมเจริญด้วยแสงสว่าง ย่อมเจริญด้วยด้านยาวและกว้าง ฉันใดดูกร สารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งมีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย ... ผู้นั้นพึงหวังได้ซึ่งความเจริญในกุศลธรรม ทั้งหลาย ไม่หวังได้ความเสื่อมเลย ฉันนั้นเหมือนกันดูกรสารีบุตร คำว่าบุคคลผู้มีศรัทธานี้ ไม่ใช่ความเสื่อม คำว่าบุคคลผู้มีหิริ ...ผู้มีโอตตัปปะ ... ผู้ปรารภความเพียร ... ผู้มีปัญญา ... ผู้ไม่ มักโกรธ ...ผู้ไม่ผูกโกรธ ... ผู้มีความปรารถนาน้อย ... ผู้มีคนดีเป็นมิตร ... ผู้เป็นสัมมาทิฐินี้ ไม่ใช่ ความเสื่อม ฯ จบสูตรที่ ๗ นฬกปานสูตรที่ ๒
[๖๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปลาสวัน ในนฬกปานนิคม สมัยนั้น แล พระผู้มีพระภาคอันหมู่ภิกษุแวดล้อม ประทับนั่งแล้วในวันอุโบสถ พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจง