พระสุตตันตปิฎกไทย: 11/119/137 138
สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
ในระหว่างได้ ถ้าพระมหาบุรุษนั้นออกจากเรือนทรงผนวชเป็นบรรพชิต จะเป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก เมื่อ เป็นพระพุทธเจ้าจะได้อะไร
เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้ผลข้อนี้ คือ มีพระชนมายุ ยืนดำรงอยู่นาน ทรงอภิบาลพระชนมายุ
ยืนยาว ไม่มีข้าศึกศัตรูจะเป็นสมณะ พราหมณ์ เทวดา พรหม มาร ใครๆ ในโลก
สามารถปลงพระชนม์ชีพในระหว่างได้ พระผู้มีพระภาคตรัสเนื้อความนี้ไว้ พระโบราณกเถระ
ทั้งหลาย จึง กล่าวคาถาประพันธ์นี้ในพระลักษณะเหล่านั้นว่า
[๑๓๗] พระมหาบุรุษทรงทราบว่าการฆ่าอันเป็นเหตุให้สัตว์ตายว่าเป็นภัยแก่ตน
ได้เป็นผู้เว้นขาดแล้ว เบื้องหน้าแต่มรณะ ได้ไปแล้วสู่สวรรค์ เพราะ
กรรมที่ทรงประพฤติดีแล้วนั้น เสวยวิบากอันเป็นผลแห่งกรรมที่ทรง
ทำดีแล้วจุติ
[จากสวรรค์] แล้วเวียนมาในโลกนี้ ย่อมได้เฉพาะซึ่ง
ลักษณะ ๓ ในโลกนี้ คือ มีส้นพระบาทยาวงาม ๑ พระกายเกิดดีตรง
สวยงาม ประหนึ่งว่ากายพรหม มีพระพาหางาม มีความเป็นหนุ่ม
ทรวดทรงสวยเป็นสุชาต ๑ มีนิ้วพระหัตถ์และนิ้วพระบาทยาวอ่อนดัง
ปุยฝ้าย ๑พระชนกเป็นต้นทรงบำรุงพระราชกุมาร เพื่อให้มีพระชนมายุ
เป็นไปนาน เพราะพระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยปุริสลักษณะ ๓ประการ
ถ้าพระราชกุมารเป็นคฤหัสถ์ ก็จะให้พระชนม์ชีพเป็นไปนาน ถ้าทรง
ผนวชก็จะให้พระชนม์ชีพเป็นไปนานกว่านั้นเพื่อให้วสีและอิทธิ
เจริญไป พระลักษณะนั้นเป็นนิมิต เพื่อความเป็นผู้มีชนมายุยืนด้วย
ประการดังนี้ ฯ
[๑๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อน กำเนิดก่อน
เป็นผู้ให้ของที่ควรเคี้ยวและของที่ควรบริโภคอันประณีตและมีรสอร่อย และให้น้ำที่ควรซด
ควรดื่ม ตถาคตย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก เพราะกรรมนั้น
อันตนทำ สั่งสม พอกพูน ไพบูลย์ ฯลฯ ครั้นจุติจากโลกสวรรค์นั้นแล้ว มาสู่ความ
เป็นอย่างนี้ ย่อมได้เฉพาะซึ่งมหาปุริส ลักษณะนี้ คือมีมังสะอูมในที่ ๗ สถาน คือที่หลังพระหัตถ์
ทั้ง ๒ ก็มีมังสะอูม ที่หลังพระบาททั้ง ๒ ก็มีมังสะอูม ที่บนพระอังสาทั้ง ๒ ก็มีมังสะอูม
ที่ลำพระศอ ก็มีมังสะอูม พระมหาบุรุษสมบูรณ์ด้วยลักษณะนั้น ถ้าอยู่ครองเรือน จะเป็น