พระสุตตันตปิฎกไทย: 11/123/145 146
สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
ความเป็นอย่างนี้ย่อมได้เฉพาะซึ่งมหาปุริสลักษณะนี้ คือ มีพระชงฆ์เรียวดังแข้งแห่งเนื้อทราย
พระมหาบุรุษสมบูรณ์ด้วยลักษณะนั้น ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ฯลฯเมื่อ
เป็นพระราชาจะได้อะไร เมื่อเป็นพระราชาจะได้รับผลข้อนี้ คือ จะทรงได้เฉพาะซึ่งหัตถา
ทิวาหนะ อันคู่ควรแก่พระราชา ซึ่งเป็นองค์แห่งเสนาของพระราชาโดยพลัน ฯลฯ ถ้าพระมหา
บุรุษนั้นออกจากเรือนผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือ
กิเลสอันเปิดแล้วในโลก เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้อะไร เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้
รับผลข้อนี้ คือจะทรงได้เฉพาะซึ่งจีวราทิปัจจัยอันสมควรแก่สมณะ และจตุบริษัทอันเป็นองค์
ของสมณะ และทรงได้บริขารเป็นสมณูปโภคอันสมควรแก่สมณะโดยพลัน พระผู้มีพระภาค
ตรัสเนื้อความนี้ไว้ พระโบราณกเถระทั้งหลายจึงกล่าวคาถาประพันธ์นี้ในพระลักษณะนั้นว่า
[๑๔๕] พระมหาบุรุษปรารถนาอยู่ว่า ทำไฉน พวกศึกษาเหล่านี้จะรู้แจ่มแจ้งเร็วใน
ศิลปะ ในวิชชา ในจรณะ และในกรรม และด่วนบอกศิลปะที่ไม่เป็นไป
เพื่อจะเบียดเบียนแก่ใครๆ ด้วยความตั้งใจว่า ผู้ศึกษาจะไม่ลำบากนาน
ครั้นทำกุศลกรรมมีความสุขเป็นผลนั้นแล้ว ย่อมได้พระชงฆ์ทั้งคู่เป็นที่
ชอบใจ มีทรวดทรงดี กลมกล่อม เป็นสุชาต เรียวไปโดยลำดับ
มีโลมชาติมีปลายช้อยขึ้นข้างบน มีหนังอันละเอียดหุ้มห่อแล้ว บัณฑิต
ทั้งหลายชมพระมหาบุรุษนั้นว่า พระองค์มีพระชงฆ์ดังว่าแข้งแห่ง
เนื้อทราย และชมพระลักษณะ คือโลมชาติเส้นหนึ่งๆ อันประกอบ
ด้วยสมบัติที่ใครๆ ปรารถนา รวมเข้าไว้ในที่นี้ พระมหาบุรุษเมื่อยัง
ไม่ทรงผนวช ก็ได้ลักษณะนั้น ในที่นี้ เร็วพลัน ถ้าพระมหาบุรุษเช่นนั้น
เข้าถึงบรรพชา ทรงยินดียิ่ง แล้วด้วยความพอพระทัยในเนกขัมมะ
มีพระปรีชาเห็นแจ่มแจ้งทรงพระวิริยะยอดเยี่ยม จะทรงได้พระลักษณะ
เป็นอนุโลมแก่พระลักษณะที่สมควรเร็วพลัน ฯ
[๑๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อน กำเนิดก่อน
เป็นผู้เข้าหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วซักถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญกรรมส่วนกุศลเป็นอย่างไร
กรรมส่วนอกุศลเป็นอย่างไร กรรมส่วนที่มีโทษเป็น อย่างไร กรรมส่วนที่ไม่มีโทษเป็นอย่างไร