พระสุตตันตปิฎกไทย: 23/125/97      
      สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
      
     
 
    
        
          
            ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เรากล่าวว่า ย่อมพ้นไปจากทุกข์  ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 นี้แลเป็นความแปลกกัน ผิดกัน แตกต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ฯ
         ธรรมในหมู่มนุษย์เหล่านี้ คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑
         ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑
         เป็นสภาพไม่เที่ยง ไม่แน่นอน มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
         แต่ท่านผู้เป็นนักปราชญ์ มีสติ ทราบธรรมเหล่านั้นแล้ว
         พิจารณาเห็นว่า มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ธรรมอันน่า
         ปรารถนา ย่อมย่ำยีจิตของท่านไม่ได้ ท่านย่อมไม่ยินร้ายต่อ
         อนิฏฐารมณ์ ท่านขจัดความยินดีและยินร้ายเสียได้จนไม่เหลืออยู่
          อนึ่ง ท่านทราบทางนิพพานอันปราศจากธุลี ไม่มีความเศร้าโศก
          เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ ย่อมทราบได้อย่างถูกต้อง ฯ
                          จบสูตรที่ ๖
                         เทวทัตตสูตร
 [๙๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏใกล้พระนครราชคฤห์ เมื่อ
พระเทวทัตต์หลีกไปแล้วไม่นานนัก ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงปรารภถึงพระเทวทัตต์ ตรัส
กะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเป็นความดีแล้ว ที่ภิกษุพิจารณาความวิบัติของตนโดยกาล
อันควร ดูกรภิกษุทั้งหลายเป็นความดีแล้ว ที่ภิกษุพิจารณาความวิบัติของผู้อื่นโดยกาลอันควร
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นความดีแล้ว ที่ภิกษุพิจารณาถึงสมบัติของตนโดยกาลอันควร ดูกรภิกษุทั้ง
หลาย เป็นความดีแล้ว ที่ภิกษุพิจารณาถึงสมบัติของผู้อื่นโดยกาลอันควร ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 พระเทวทัตต์มีจิตอันอสัทธรรม ๘ ประการครอบงำย่ำยีแล้ว ต้องไปบังเกิดในอบาย ในนรกอยู่
ชั่วกัลป์ แก้ไขไม่ได้ อสัทธรรม ๘ประการเป็นไฉน คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑
 ความเสื่อมยศ ๑สักการะ ๑ ความเสื่อมสักการะ ๑ ความปรารถนาลามก ๑ ความเป็นผู้มีมิตร
ชั่ว ๑ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตต์มีจิตอันอสัทธรรม ๘ ประการนี้แลครอบงำย่ำยีแล้ว
ต้องไปบังเกิดในอบาย ในนรกอยู่ชั่วกัลป์ แก้ไขไม่ได้ ฯ