พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/132/144
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
๘. คณิกาสูตร
[๑๔๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้
พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ในพระนครราชคฤห์ มีนักเลง ๒พวก เป็นผู้กำหนัด มีจิต
ปฏิพัทธ์ในหญิงแพศยาคนหนึ่ง เกิดความบาดหมางกันทะเลาะกัน วิวาทกัน ประหัตประหาร
กันและกัน ด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศาตราบ้าง นักเลงเหล่านั้น
ถึงความตายในที่นั้นบ้างถึงความทุกข์ปางตายบ้าง ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้าภิกษุมากด้วยกัน
นุ่งแล้วถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์ ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในพระนคร
ราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอประทานพระวโรกาส ในพระนครราชคฤห์ มีนักเลง ๒ พวก เป็นผู้กำหนัด มีจิตปฏิพัทธ์
ในหญิงแพศยาคนหนึ่ง ...ถึงความตายในที่นั้นบ้าง ถึงความทุกข์ปางตายบ้าง พระเจ้าข้า ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
เบญจกามคุณ ที่บุคคลถึงแล้วและที่บุคคลจะพึงถึง ทั้งสองนี้เกลื่อน
กล่นแล้วด้วยธุลี คือ ราคะ แต่บุคคลผู้เร่าร้อนสำเหนียกตามอยู่ อนึ่ง
การศึกษาอันเป็นสาระ ศีล พรต ชีวิตพรหมจรรย์ การอุปัฏฐากอัน
เป็นสาระ นี้เป็นส่วนสุดที่ ๑อนึ่ง การประกอบตนพัวพันด้วยความสุข
ในกาม ของบุคคลผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า โทษในกามไม่มี นี้เป็นส่วนสุด
ที่ ๒ ส่วนสุดทั้งสองนี้เป็นที่เจริญแห่งตัณหาและอวิชชาอย่างนี้ ตัณหา
และอวิชชาย่อมยังทิฐิให้เจริญ สมณพราหมณ์บางพวกไม่รู้ส่วนสุดทั้ง
สองนั้น ย่อมจมอยู่ (ในสงสารด้วยอำนาจการถือมั่นสัสสตทิฐิ)
สมณพราหมณ์บางพวกย่อมแล่นไป (ด้วยอำนาจการถือมั่นอุจเฉททิฐิ)
ส่วนท่านผู้ที่รู้ส่วนสุดทั้งสองนั้นแล้วเป็นผู้ไม่ตกไปในส่วนสุดทั้งสองนั้น
และได้สำคัญด้วยการละส่วนสุดทั้งสองนั้น วัฏฏะของท่านผู้ที่ดับไม่มี
เชื้อเหล่านั้นย่อมไม่มีเพื่อจะบัญญัติ ฯ
จบสูตรที่ ๘