พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/138/152
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
ทั้งหลายเห็นภิกษุนั่น เป็นคนค่อม มีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู พวกภิกษุดูหมิ่นโดยมาก กำลังเดิน
มาข้างหลังๆ ของภิกษุเป็นอันมากแต่ไกลหรือไม่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่าเห็นแล้ว พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ก็สมาบัติที่ภิกษุนั้นไม่เคย
เข้าแล้ว ไม่ใช่หาได้ง่าย ภิกษุนั้นทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตร
ทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
รถคืออัตภาพ มีศีลอันหาโทษมิได้ หลังคาคือบริขารขาวมีกรรมคือสติ
อันเดียวแล่นไปอยู่ เชิญดูรถคืออัตภาพนั้นอันหาทุกข์มิได้ มีกระแส
ตัณหาอันตัดขาดแล้ว หาเครื่องผูกมิได้ แล่นไปอยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๕
๖. ตัณหักขยสูตร
[๑๕๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง
พิจารณาซึ่งความหลุดพ้นเพราะความสิ้นตัณหาอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค
ได้ทรงเห็นท่านพระอัญญาโกณฑัญญะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง พิจารณาเห็นซึ่งความหลุดพ้น
เพราะความสิ้นตัณหาอยู่ในที่ไม่ไกล ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น
ว่า
พระอริยบุคคลใดไม่มีอวิชชาอันเป็นมูลราก ไม่มีแผ่นดิน คืออาสวะ
นิวรณ์และอโยนิโสมนสิการ ไม่มีเถาวัลย์ คือมานะและอติมานะ
เป็นต้น ใบ คือ ความมัวเมา ประมาทมายาและสาเถยยะเป็นต้น
จะมีแต่ที่ไหน ใครเล่าจะควรนินทาพระอริยบุคคลนั้น ผู้เป็นนักปราชญ์