พระสุตตันตปิฎกไทย: 23/144/103
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ภัตตาหารแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงเวลาแล้วพระเจ้าข้า ภัตตาหารในนิเวศน์
ของท่านสีหเสนาบดีสำเร็จแล้ว ฯ
ครั้งนั้น ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จ
เข้าไปยังนิเวศน์ของสีหเสนาบดี ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ก็สมัยนั้น
นิครนถ์เป็นจำนวนมาก พากันประคองแขนคร่ำครวญตามถนนต่างๆ ตามสี่แยกต่างๆ ในกรุง
เวสาลีว่า วันนี้ สีหเสนาบดีฆ่าสัตว์อ้วนพีปรุงเป็นภัตตาหารถวายพระสมณโคดม พระสมณ
โคดมทั้งที่รู้ทรงฉันอุทิศมังสะที่เขาอาศัยตนทำ ฯ
ลำดับนั้น บุรุษคนหนึ่งเข้าไปหาสีหเสนาบดีกระซิบบอกว่า พระเดชพระคุณได้โปรด
ทราบ นิครนถ์เป็นจำนวนมากเหล่านี้ พากันประคองแขนคร่ำครวญตามถนนต่างๆ ตามสี่แยก
ต่างๆ ในกรุงเวสาลีว่า วันนี้ สีหเสนาบดีฆ่าสัตว์อ้วนพีปรุงเป็นภัตตาหารถวายพระสมณโคดม
พระสมณโคดมทั้งที่รู้อยู่ทรงฉันอุทิศมังสะที่เขาอาศัยตนทำ ฯ
สีหเสนาบดีกล่าวว่า อย่าเลย เพราะเป็นเวลานานมาแล้วที่พระคุณเจ้าเหล่านั้น ใคร่จะ
กล่าวโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ท่านเหล่านี้ไม่กระดากอายเสียเลย ย่อมกล่าวตู่พระ
ผู้มีพระภาคด้วยคำอันไม่เป็นจริง แม้เพราะเหตุแห่งชีวิตไม่ ลำดับนั้น สีหเสนาบดีได้อังคาส
พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขให้อิ่มหนำสำราญด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วย
มือของตน และเมื่อพระผู้มีพระภาคฉันเสร็จแล้ว ชักพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว สีหเสนาบดี
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงชี้แจง สีหเสนาบดีผู้นั่งเรียบร้อยแล้ว
ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ รื่นเริงด้วยธรรมีกถาแล้วเสด็จลุกจากที่นั่งหลีกไป ฯ
จบสูตรที่ ๒
อาชัญญสูตร
[๑๐๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวประเสริฐของพระราชา ประกอบด้วยองค์
สมบัติ ๘ ประการ สมควรเป็นม้าต้นม้าทรง ย่อมถึงการนับว่าเป็นราชพาหนะได้ทีเดียว องค์
สมบัติ ๘ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวประเสริฐของพระราชาในโลกนี้
ย่อมมีกำเนิดดีทั้ง ๒ ฝ่าย คือฝ่ายมารดาและบิดา เกิดในทิศที่ม้าอาชาไนยตัวอื่นเกิดกัน ๑ ย่อม