พระสุตตันตปิฎกไทย: 18/151/253 254
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
มหาโกฏฐิกสูตรที่ ๓
[๒๕๓] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโกฏฐิกะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ
ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอประทานพระวโรกาส ขอพระองค์
โปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อที่ข้าพระองค์ฟังแล้ว พึงเป็นผู้หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว
เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนอันส่งไปแล้วอยู่เถิด พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโกฏฐิกะ
ก็สิ่งใดแลเป็นอนัตตา เธอพึงละความพอใจในสิ่งนั้น ก็สิ่งอะไรเล่าเป็นอนัตตาดูกรโกฏฐิกะ
จักษุแลเป็นอนัตตา เธอพึงละความพอใจในจักษุนั้น รูปเป็นอนัตตา เธอพึงละความพอใจใน
รูปนั้น จักษุวิญญาณเป็นอนัตตา เธอพึงละความ---พอใจในจักษุวิญญาณนั้น จักษุสัมผัสเป็น
อนัตตา เธอพึงละความพอใจในจักษุสัมผัสนั้น แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยเป็นอนัตตา เธอพึงละความพอใจในสุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยนั้นเสีย หูเป็นอนัตตา...จมูกเป็น
อนัตตา... ลิ้นเป็นอนัตตา... กายเป็นอนัตตา... ใจเป็นอนัตตา เธอพึงละความพอใจในใจนั้น
ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา เธอพึงละความพอใจในธรรมารมณ์นั้น มโนวิญญาณเป็นอนัตตา เธอ
พึงละความพอใจในมโนวิญญาณนั้นมโนสัมผัสเป็นอนัตตา เธอพึงละความพอใจในมโนสัมผัส
นั้น แม้สุขเวทนาทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยเป็น
อนัตตา เธอพึงละความพอใจในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะ
มโนสัมผัสเป็นปัจจัยนั้นเสีย ดูกรโกฏฐิกะ สิ่งใดแลเป็นอนัตตาเธอพึง ละความพอใจในสิ่ง
นั้นเสีย ฯ
จบสูตรที่ ๙
มิจฉาทิฏฐิสูตร
[๒๕๔] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับฯลฯ ครั้นแล้ว
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงจะ