พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/152/174
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
ถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอ
พระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์โปรดทรงรับภัตของข้าพระองค์ทั้งหลาย เพื่อเสวยในวันนี้
พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ ลำดับนั้น มหาอำมาตย์ในแว่นแคว้นมคธชื่อสุนีธะ
และวัสสการะ ทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้วเข้าไปยังที่พักของตน ครั้นแล้วสั่งให้
ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารอันประณีตในที่พักของตน แล้วกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว ภัตเสร็จแล้วครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรง
นุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปยังที่พักของมหาอำมาตย์ในแว่นแคว้นมคธชื่อสุนีธะและ
วัสสการะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ครั้นแล้วประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูลาดถวาย ลำดับนั้น มหา
อำมาตย์ในแว่นแคว้นมคธชื่อสุนีธะและวัสสการะ อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วย
ขาทนียโภชนียาหารอันประณีต ให้อิ่มหนำสำราญด้วยมือของตน ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระ
ภาคเสวยเสร็จแล้ว ชักพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว มหาอำมาตย์ในแว่นแคว้นมคธชื่อสุนีธะและ
วัสสการะ ถือเอาอาสนะต่ำแห่งหนึ่งนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนา
กะมหาอำมาตย์ในแว่นแคว้นมคธชื่อสุนีธะและวัสสการะผู้นั่งอยู่แล้ว ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ด้วย
พระคาถาเหล่านี้ว่า
บุรุษชาติบัณฑิต ย่อมสำเร็จการอยู่ในประเทศใด พึงเชิญท่านผู้มีศีล
สำรวมแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริโภคในประเทศนั้น ควรอุทิศ
ทักษิณาทานเพื่อเทวดาผูสถิตอยู่ในที่นั้นๆ เทวดาเหล่านั้นอันบุรุษชาติ
บัณฑิตนับถือ บูชาย่อมนับถือบูชาบุรุษชาติบัณฑิตนั้น แต่นั้นย่อม
อนุเคราะห์บุรุษชาติบัณฑิตนั้น ประหนึ่งมารดาอนุเคราะห์บุตรแล้วก็ย่อม
เห็นความเจริญทุกเมื่อ ฯ
[๑๗๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคครั้นทรงอนุโมทนาแก่มหาอำมาตย์ในแว่นแคว้นมคธ
ชื่อสุนีธะและวัสสการะด้วยพระคาถาเหล่านี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป ก็สมัยนั้นแล
มหาอำมาตย์ในแว่นแคว้นมคธชื่อสุนีธะและวัสสการะ ติดตามพระผู้มีพระภาคไปข้างหลังๆ ด้วย
ตั้งใจว่า วันนี้ พระสมณโคดมจักเสด็จออกโดยประตูใด ประตูนั้นจักชื่อว่าโคตมประตู จัก
เสด็จข้ามแม่น้ำคงคาโดยท่าใด ท่านั้นจักชื่อว่าโคตมติฏฐะ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จ
ออกประตูใด ประตูนั้นชื่อว่าโคตมประตู พระผู้มีพระภาคเสด็จไปยังแม่น้ำคงคาก็สมัยนั้นแล