พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/153/504 505 506 507
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
[๕๐๔] ครั้นแล้ว มารผู้มีบาปได้ภาษิตคาถาอันเป็นที่ตั้งแห่งความเบื่อหน่ายเหล่านี้ ใน
สำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ฝูงกาเห็นก้อนหินมีสีดุจมันข้น จึงบินเข้าไปใกล้ด้วยเข้าใจว่า เราทั้งหลาย
พึงประสบอาหารในที่นี้เป็นแน่ ความยินดีพึงมีโดยแท้ ฯ
เมื่อพยายามอยู่ไม่ได้อาหารสมประสงค์ในที่นั้น จึงบินหลีกไป ฯ
ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ก็เหมือนกามาพบศิลา ฉะนั้นขอหลีกไป ฯ
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปครั้นกล่าวคาถาอันเป็นที่ตั้งแห่งความเบื่อหน่าย เหล่านี้
ในสำนักพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงหลีกจากที่นั้น ไปนั่งขัดสมาธิที่พื้นดิน ไม่ไกลจากพระผู้มี
พระภาค เป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมด ปฏิภาณ เอาไม้ขีดแผ่นดินอยู่ ฯ
มารธีตุสูตรที่ ๕
[๕๐๕] ครั้งนั้นแล มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากันเข้า
ไปหาพระยามารถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจึงถามพระยามารด้วยคาถาว่า
ข้าแต่คุณพ่อ คุณพ่อมีความเสียใจด้วยเหตุอะไร หรือเศร้าโศกถึงผู้ชาย
คนไหน หม่อมฉันจักผูกผู้ชายคนนั้นด้วยบ่วง คือราคะ นำมาถวาย
เหมือนบุคคลผูกช้างมาจากป่า ฉะนั้นชายนั้นจักตกอยู่ในอำนาจของ
คุณพ่อ ฯ
[๕๐๖] พระยามารกล่าวว่า
ชายนั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ดำเนินไปดีแล้วในโลก ไม่เป็นผู้อันใครๆ
พึงนำมาด้วยราคะได้ง่ายๆ ก้าวล่วงบ่วงมารไปแล้ว เพราะฉะนั้น เรา
จึงเศร้าโศกมาก ฯ
[๕๐๗] ครั้งนั้นแล มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึง พากันเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่าง นี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวก
หม่อมฉันจักขอบำเรอพระบาทของพระองค์ ฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงใส่พระทัยถึงคำของนางมารธิดาเหล่านั้น เพราะ
พระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม ฯ