พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/169/556 557
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
[๕๕๖] ครั้งนั้น สหัมบดีพรหม ทราบความปริวิตกแห่งพระหฤทัยของ พระผู้มีพระ
ภาคด้วยใจแล้ว ได้มีความดำริว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย โลกจะฉิบหาย หนอ ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
โลกจะพินาศหนอ เพราะพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงน้อมพระหฤทัยไปเพื่อความ
ขวนขวายน้อย ไม่ทรงน้อมพระหฤทัย ไปเพื่อทรงแสดงธรรม ฯ
ลำดับนั้น สหัมบดีพรหมอันตรธานไปในพรหมโลก มาปรากฏอยู่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มี
พระภาค เหมือนบุรุษมีกำลังพึงเหยียดออกซึ่งแขนที่คู้อยู่ หรือ พึงคู้เข้าซึ่งแขนที่เหยียดอยู่
ฉะนั้น ฯ
ครั้นแล้ว สหัมบดีพรหมกระทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่งแล้ว คุกชาณุ มณฑลเบื้องขวาลงที่
แผ่นดิน ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระ
องค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรมเถิด ขอพระสุคตจงทรงแสดงธรรมเถิด สัตว์
ทั้งหลายผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อยเป็นปรกติก็มีอยู่ เพราะมิได้สดับย่อมเสื่อมจากธรรม สัตว์
ทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึงธรรม จักมี ฯ
สหัมบดีพรหม ได้กราบทูลดังนี้แล้ว ครั้นแล้วได้กราบทูลเป็นนิคมคาถา อีกว่า
เมื่อก่อนธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ซึ่งศาสดาผู้มีมลทินทั้งหลายคิดแล้วปรากฏขึ้น
ในหมู่ชนชาวมคธ ขอพระองค์จงทรงเปิดประตูอมตะเถิด ขอสัตว์
ทั้งหลายจงฟังธรรมซึ่งพระพุทธเจ้า ผู้ปราศจากมลทินตรัสรู้แล้วเถิด ขอ
พระองค์ผู้มีพระปัญญาดี มีพระจักษุโดยรอบ มีความโศกอันปราศจาก
แล้ว จงเสด็จขึ้นสู่ปราสาทอันสำเร็จด้วยธรรม จงพิจารณาชุมชนผู้จม
อยู่ในความโศก ถูกชาติและชราครอบงำแล้ว อุปมาเหมือนบุคคล ผู้
อยู่บนยอดภูเขา อันล้วนด้วยศิลา จะพึงเห็นชุมชนโดยรอบฉะนั้น ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า ผู้ทรงชนะสงครามแล้ว ผู้ทรงนำพวก ผู้ไม่
มีหนี้ ขอพระองค์จงเสด็จลุกขึ้นเถิด จงเสด็จเที่ยวไปในโลกเถิด ขอ
พระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรมเถิดผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี ฯ
[๕๕๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบการเชื้อเชิญของพรหม และ ทรงอาศัยพระ
กรุณาในสัตว์ทั้งหลาย จึงทรงสอดส่องดูโลกด้วยพระพุทธจักษุ ฯ