พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/170/558 559
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงสอดส่องดูโลกด้วยพระพุทธจักษุ ก็ได้ทรงเห็น สัตว์ทั้งหลาย
บางพวกมีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย บางพวกมีกิเลสดุจธุลีในดวงตา มาก บางพวกมีอินทรีย์กล้า
บางพวกมีอินทรีย์อ่อน บางพวกมีอาการดี บางพวก มีอาการเลว บางพวกจะพึงสอนให้รู้ได้โดย
ง่าย บางพวกจะพึงสอนให้รู้ได้โดยยากบางพวกมีปรกติเห็นโทษในปรโลกว่าเป็นภัยอยู่ ฯ
ในกออุบลก็ดี ในกอปทุมก็ดี ในกอบุณฑริก็ดี ดอกอุบลก็ดี ดอกปทุมก็ดี ดอก
บุณฑริกก็ดี บางเหล่าเกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ อาศัยอยู่ในน้ำจมอยู่ในน้ำ อันน้ำเลี้ยง
อยู่ บางเหล่าเกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ ตั้งอยู่ เสมอน้ำ บางเหล่าเกิดแล้วในน้ำ เจริญ
แล้วในน้ำ ตั้งขึ้นพ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว แม้ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงสอดส่องดูโลกด้วย
พระพุทธจักษุ ก็ได้ทรงเห็นสัตว์ ทั้งหลาย บางพวกมีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย บางพวกมีกิเลส
ดุจธุลีในดวงตา มาก บางพวกมีอินทรีย์กล้า บางพวกมีอินทรีย์อ่อน บางพวกมีอาการดี บางพวก
มีอาการเลว บางพวกจะพึงสอนให้รู้ได้โดยง่าย บางพวกจะพึงสอนให้รู้ได้โดยยากบางพวก
มีปรกติเห็นโทษในปรโลกว่าเป็นภัยอยู่ ฉันนั้น ครั้นทรงเห็นแล้ว จึงได้ ตรัสตอบสหัมบดีพรหม
ด้วยพระคาถาว่า
ประตูอมตะ เราเปิดแล้วเพราะท่าน ชนผู้ฟังจงปล่อยศรัทธามาเถิด ดูกร
พรหม เราจะไม่มีความสำคัญในความลำบากแสดงธรรมอันประณีต
ที่ชำนิชำนาญในหมู่มนุษย์ ฯ
[๕๕๘] ลำดับนั้น สหัมบดีพรหมดำริว่า เราอันพระผู้มีพระภาคทรงทำโอกาสเพื่อทรง
แสดงธรรมแล้ว จึงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้ว อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
คารวสูตรที่ ๒
[๕๕๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ แถบฝั่งแม่น้ำ
เนรัญชรา เขตอุรุเวลาประเทศ ฯ
ครั้งนั้น ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดแก่พระผู้มีพระภาคผู้เสด็จเข้า ที่ลับ ทรง
พักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า บุคคลผู้ไม่มีที่เคารพ ไม่มีที่ยำเกรง ย่อมอยู่ เป็นทุกข์ เราจะพึงสักการะ
เคารพ อาศัยสมณะหรือพราหมณ์ใครผู้ใดอยู่หนอ ฯ