พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/171/462 463 464
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
ทูล ขอ ทูลเชื้อเชิญ ซึ่งพระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว คือ ขอให้ทรงประสาท เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า พวกข้าพระองค์มาแล้วเพื่อจะทูลถามพระผู้มีพระภาค.
[๔๖๒] คำว่า พวกข้าพระองค์จะขอฟังพระดำรัสนั้นของพระองค์ ความว่า พวก
ข้าพระองค์จะขอฟัง ศึกษา ทรงจำ เข้าไป กำหนดพระดำรัส ถ้อยคำ ทางถ้อยคำ เทศนา
อนุสนธิ ของพระองค์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พวกข้าพระองค์จะขอฟังพระดำรัส ของพระองค์
เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
เมื่อโลกมีสติอย่างไรเที่ยวไป วิญญาณจึงดับ? พวกข้าพระองค์
มาแล้วเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค. พวกข้าพระองค์จะขอฟัง
พระดำรัสนั้นของพระองค์.
[๔๖๓] เมื่อโลกไม่เพลิดเพลินเวทนาภายในและภายนอก เป็นผู้มีสติ
อย่างนี้เที่ยวไป วิญญาณจึงดับ.
[๔๖๔] คำว่า เมื่อโลกไม่เพลิดเพลินเวทนาภายในและภายนอก ความว่า เมื่อโลก
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายในภายในอยู่ ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ตั้งอยู่ด้วยความ
ติดใจเวทนา คือ ย่อมละ ย่อมบรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี ซึ่งความเพลิดเพลิน
ความพร่ำถึง ความติดใจ ความถือไว้ ความจับต้อง ความถือมั่น. เมื่อโลกเป็นผู้พิจารณาเห็น
เวทนาในเวทนาทั้งหลายในภายนอกอยู่ เมื่อโลกพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายทั้งภายใน
และภายนอกอยู่ เมื่อโลกพิจารณาเห็นธรรมคือ ความเกิดขึ้นในเวทนาทั้งหลายในภายในอยู่
เมื่อโลกพิจารณาเห็นธรรมคือ ความเสื่อมไปในเวทนาทั้งหลายในภายในอยู่ เมื่อโลกพิจารณาเห็น
ธรรมคือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในเวทนาทั้งหลายในภายในอยู่ เมื่อโลกพิจารณาเห็นธรรม
คือความเกิดขึ้นในเวทนาทั้งหลายในภายนอกอยู่ เมื่อโลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมไปใน
เวทนาทั้งหลายในภายนอกอยู่ เมื่อโลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปใน
เวทนาทั้งหลายในภายนอกอยู่ เมื่อโลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในเวทนาทั้งหลายทั้ง
ภายในและภายนอกอยู่ เมื่อโลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมไปในเวทนาทั้งหลายทั้งภายใน
และภายนอกอยู่ เมื่อโลกพิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในเวทนาทั้งหลาย
ทั้งภายในและภายนอกอยู่ ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ตั้งอยู่ด้วยความติดใจซึ่งเวทนา คือ
ย่อมละ ย่อมบรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีซึ่งความเพลิดเพลิน ความพร่ำถึง ความ