พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/172/465 466
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
ติดใจ ความถือไว้ ความจับต้อง ความถือมั่น. เมื่อโลกพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย
ด้วยอาการ ๑๒ นี้ ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ตั้งอยู่ด้วยความติดใจซึ่งเวทนา ฯลฯ ให้
ถึงความไม่มีซึ่งความเพลิดเพลิน ความพร่ำถึง ความติดใจ.
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อโลกพิจารณาเห็นเวทนาโดยความไม่เที่ยง ย่อมไม่เพลิดเพลิน ... เมื่อ
โลกพิจารณาเห็นเวทนาโดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็น
ความลำบาก เป็นอาพาธ ฯลฯ โดยไม่มีอุบาย เครื่องสลัดออก ย่อมไม่เพลิดเพลิน ... เมื่อโลก
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายโดยอาการ ๔๒ นี้อยู่ ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่
ตั้งอยู่ด้วยความติดใจเวทนา คือ ย่อมละ ย่อมบรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีซึ่งความ
เพลิดเพลิน ความพร่ำถึง ความติดใจ ความถือไว้ ความจับต้อง ความถือมั่น เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า เมื่อโลกไม่เพลิดเพลินเวทนาในภายในและภายนอก.
[๔๖๕] คำว่า เป็นผู้มีสติอย่างนี้เที่ยวไป ความว่า เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะอย่างนี้
เที่ยวไป คือ เที่ยวไปทั่ว ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นไป รักษา บำรุง เยียวยา เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า เป็นผู้มีสติอย่างนี้เที่ยวไป.
[๔๖๖] คำว่า วิญญาณจึงดับ ความว่า วิญญาณอันสหรคตด้วยปุญญาภิสังขาร วิญญาณ
อันสหรคตด้วยอปุญญาภิสังขาร วิญญาณอันสหรคตด้วยอเนญชาภิสังขาร ย่อมดับ สงบ ถึงความ
ตั้งอยู่ไม่ได้ ระงับไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วิญญาณจึงดับ. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาค
จึงตรัสว่า
เมื่อโลกไม่เพลิดเพลินเวทนาในภายในและภายนอก เป็นผู้
มีสติอย่างนี้เที่ยวไป วิญญาณจึงดับ.
พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา ฯลฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเป็นศาสดาของ
ข้าพระองค์. ข้าพระองค์เป็นสาวก ฉะนี้แล.
จบ อุทยมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๓.
-------------