พระสุตตันตปิฎกไทย: 17/175/341 342 343
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๑๐. อนัตตสูตรที่ ๓
ว่าด้วยการละฉันทราคะในสิ่งที่เป็นอนัตตา
[๓๔๑] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงละฉันทราคะในสิ่งที่เป็น
อนัตตาเสีย. ก็อะไรเป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา รูปเป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา เธอทั้งหลายพึงละฉันทราคะ
ในรูปนั้นเสีย. เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณเป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา เธอทั้งหลายพึงละ
ฉันทราคะในวิญญาณนั้นเสีย.
จบ สูตรที่ ๑๐.
๑๑. กุลปุตตสูตรที่ ๑
ว่าด้วยธรรมอันสมควรแก่กุลบุตร
[๓๔๒] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นผู้มากด้วยความเบื่อหน่ายในรูป
ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ นี้ย่อมเป็นธรรมสมควรแห่งกุลบุตรผู้บวชด้วย
ศรัทธา. เมื่อเป็นผู้มากด้วยความเบื่อหน่ายในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ
ย่อมกำหนดรู้ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อกำหนดรู้ซึ่งรูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ ย่อมหลุดพ้นไปจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จากชาติ ชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เรากล่าวว่า ย่อมหลุดพ้นไปจากทุกข์.
จบ สูตรที่ ๑๑.
๑๒. กุลปุตตสูตรที่ ๒
ว่าด้วยธรรมอันสมควรแก่กุลบุตร
[๓๔๓] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นผู้พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง
ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ นี้ย่อมเป็นธรรมสมควรแห่งกุลบุตรผู้บวช
ด้วยศรัทธา. เมื่อพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ
ย่อมกำหนดรู้ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อกำหนดรู้ซึ่งรูป เวทนา สัญญา