พระสุตตันตปิฎกไทย: 32/176/127

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
เล่ม 32
หน้า 176
ศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประ สูติไฟในอเวจีนรกไม่ลุกโพลง บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดา ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ หมู่นกไม่สัญจรไป บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาผู้มีพระ จักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ กองลม ย่อมไม่พัดฟุ้งไป บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาผู้มี พระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ แก้วทุกชนิดส่งแสงโชติช่วง บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดา ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ ทรงย่างพระบาทก้าวไป ๗ ก้าว บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็น ศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ พอพระสัมพุทธเจ้าประสูติแล้ว เท่านั้น ก็ทรงเหลียวแลดูทิศทั้งปวง ทรงเปล่งอาสภิวาจา นี้เป็นธรรมดา ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เรายังหมู่ชนให้เกิดสังเวช เชยชมพระผู้มีพระ ภาคผู้นำของโลก ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้าแล้ว บ่ายหน้ากลับไปทางทิศ ปราจีน ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราเชยชมพระพุทธเจ้าใด ด้วยการ เชยชมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการเชยชม ในกัลปที่ ๙๐ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่าสัมมุขาถวิกะ ทรงสมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก ในกัลปที่ ๙๘ แต่กัลปนี้เราได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิ มีนามว่าปฐวีทุนทุภิ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก ในกัลปที่ ๘๘ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จอมกษัตริย์มีนาม ว่าโอภาส สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก ในกัลปที่ ๘๗ แต่ กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีนามว่าสริจเฉทนะ สมบูรณ์