พระสุตตันตปิฎกไทย: 24/183/105
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุริสบุคคลผู้มีความเห็นชอบ มีความดำริชอบ มีวาจาชอบ มีการงาน
ชอบ มีการเลี้ยงชีพชอบ มีความพยายามชอบ มีความระลึกชอบ มีความตั้งใจชอบ มีความรู้
ชอบ มีความหลุดพ้นชอบ สมาทานกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้บริบูรณ์ตามความเห็น
อย่างไรแล้ว เจตนาความปรารถนา ความตั้งใจ และสังขารเหล่าใด ธรรมเหล่านั้นทั้งหมด
ย่อมเป็นไปเพื่อผลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ความเกื้อกูล เป็นสุข ข้อนั้นเป็นเพราะ
เหตุไร เพราะเป็นทิฐิที่เจริญ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนพืชอ้อย พืชข้าวสาลี หรือพืชองุ่นอันบุคคลเพาะลง
แล้วในแผ่นดินที่ชุ่มชื้น ย่อมเข้าไปจับรสดิน และรสน้ำอันใดรสดินและรสน้ำทั้งหมดนั้น
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นรสที่น่ายินดี เป็นรสหวานเป็นรสอันน่าชื่นใจ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะพืชเป็นของดี แม้ฉันใดดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุริสบุคคลผู้มีความเห็นชอบ มีความดำริชอบ
มีวาจาชอบมีการงานชอบ มีการเลี้ยงชีพชอบ มีความพยายามชอบ มีความระลึกชอบมีความ
ตั้งใจชอบ มีความรู้ชอบ มีความหลุดพ้นชอบ สมาทานกายกรรมวจีกรรม มโนกรรม ให้
บริบูรณ์ตามความเห็นอย่างไรแล้ว เจตนา ความปรารถนาความตั้งใจ และสังขารเหล่าใด ธรรม
เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเป็นไปเพื่อผลอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เกื้อกูล เป็นสุข ข้อนั้น
เพราะเหตุไร เพราะทิฐิเป็นของเจริญ ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
จบสูตรที่ ๔
อวิชชาวิชชาสูตร
[๑๐๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวิชชาเป็นประธานแห่งการเข้าถึงอกุศลธรรมทั้งหลาย ความ
ไม่ละอายบาป ความไม่กลัวบาป เป็นของมีมาตามอวิชชานั้นดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มี
อวิชชาไม่เห็นแจ้ง ย่อมมีความเห็นผิด ผู้มีความเห็นผิด ย่อมมีความดำริผิด ผู้มีความดำริผิด
ย่อมมีวาจาผิด ผู้มีวาจาผิด ย่อมมีการงานผิด ผู้มีการงานผิด ย่อมมีการเลี้ยงชีพผิด ผู้มีการ
เลี้ยงชีพผิด ย่อมมีความพยายามผิด ผู้มีความพยายามผิด ย่อมมีความระลึกผิด ผู้มีความระลึกผิด
ย่อมมีความตั้งใจผิด ผู้มีความตั้งใจผิด ย่อมมีความรู้ผิด ผู้มีความรู้ผิด ย่อมมีความหลุดพ้นผิด ฯ