พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/190/220
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้ไม่เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าไม่เสื่อม สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นสุข
ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันเทียวแล เมื่อตายไปพึง
หวังได้สุคติ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสคาถา
ประพันธ์ดังนี้ว่า ฯ
จงดูโลกพร้อมด้วยเทวโลก ผู้ตั้งมั่นลงแล้วในนามรูป เพราะความเสื่อม
ไปจากปัญญา โลกพร้อมด้วยเทวโลกย่อมสำคัญว่า นามรูปนี้เป็นของ
จริง ปัญญาอันให้ถึงความชำแรกกิเลสนี้แล ประเสริฐที่สุดในโลก
ด้วยว่าปัญญานั้นย่อมรู้ชัดโดยชอบซึ่งความสิ้นไปแห่งชาติและภพ เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมรักใคร่ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มี
สติ มีปัญญาร่าเริง ผู้ทรงไว้ซึ่งสรีระอันมีในที่สุด ฯ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๔
๕. ธรรมสูตร
[๒๒๐] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็น
พระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย สุกกธรรม
๒ ประการนี้ย่อมรักษาโลก ๒ ประการเป็นไฉนคือ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าว่าสุกกธรรม ๒ ประการนี้จะไม่พึงรักษาโลกไซร้ ในโลกนี้ก็ไม่พึงปรากฏว่า มารดา น้า ป้า
ภรรยาของอาจารย์ หรือว่าภรรยาของครู โลกจักถึงความปะปนกันไป เหมือนอย่างแพะแกะ
ไก่ สุกร สุนัข สุนัขจิ้งจอกฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่สุกกธรรม ๒ ประการนี้
ยังรักษาโลกอยู่ ฉะนั้นจึงยังปรากฏว่า มารดา น้า ป้าภรรยาของอาจารย์ หรือว่าภรรยาของครู ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์
ดังนี้ว่า
ถ้าสัตว์เหล่าใด ไม่มีหิริและโอตตัปปะในกาลทุกเมื่อไซร้สัตว์เหล่านั้น
มีสุกกธรรมเป็นมูลปราศไปแล้ว เป็นผู้ถึงชาติและมรณะ ส่วนสัตว์