พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/194/224 225

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เล่ม 25
หน้า 194
๙. สิกขาสูตร
[๒๒๔] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้ เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอ ทั้งหลายจงเป็นผู้มีสิกขาเป็นอานิสงส์ มีปัญญายิ่งมีวิมุตติเป็นสาระ มีสติเป็นใหญ่อยู่เถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายมีสิกขาเป็นอานิสงส์ มีปัญญายิ่ง มีวิมุตติเป็นสาระ มีสติ เป็นใหญ่อยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมี อุปาทานเหลืออยู่ ความเป็นพระอนาคามี ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ ดังนี้ว่า เรากล่าวมุนีผู้มีสิกขาบริบูรณ์ มีความไม่เสื่อมเป็นธรรมดามีปัญญายิ่ง มีปรกติเห็นที่สุด คือความสิ้นไปแห่งชาติผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่ สุดนั้นแล ว่าผู้ละมาร ผู้ถึงฝั่งแห่งชรา เพราะเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้ยินดีในฌาน มีจิตตั้งมั่นแล้วในกาลทุกเมื่อ มีความ เพียร มีปรกติเห็นที่สุด คือ ความสิ้นไปแห่งชาติครอบงำมารพร้อม ด้วยเสนาได้แล้ว เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งชาติและมรณะ ฯ เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล ฯ จบสูตรที่ ๙ ๑๐. ชาคริยสูตร
[๒๒๕] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเป็น พระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุพึง เป็นผู้มีความเพียรเป็นเครื่องตื่น มีสติสัมปชัญญะมีจิตตั้งมั่น เบิกบาน ผ่องใส และพึงเป็น ผู้เห็นแจ้งในกุศลธรรมทั้งหลายสมควรแก่กาลในการประกอบกรรมฐานนั้นเนืองๆ เถิด ดูกร ภิกษุทั้งหลายเมื่อภิกษุมีความเพียรเป็นเครื่องตื่น มีสติสัมปชัญญะ มีจิตตั้งมั่น เบิกบาน