พระสุตตันตปิฎกไทย: 10/199/248
สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค
วันนี้ไฟติดเวทิยกบรรพตเข้าแล้ว วันนี้ไฟไหม้เวทิยกบรรพต วันนี้ เวทิยกบรรพตไฟลุกโพลง
เพราะเหตุไรเล่า วันนี้ เวทิยกบรรพตและ พราหมณคาม ชื่ออัมพสัณฑ์ จึงสว่างไสวยิ่งนัก
มนุษย์พวกนั้นพากันตกใจ ขน พองสยองเกล้า ฯ
ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพรับสั่งกะปัญจสิขคันธรรพบุตรว่า ดูกรพ่อ ปัญจสิขะ
พระตถาคตทั้งหลาย เป็นผู้เพ่งฌาน ทรงยินดีในฌาน ในระหว่างนั้น ทรงเร้นอยู่ อันผู้เช่นเรา
ยากที่จะเข้าเฝ้า ถ้ากระไร พ่อควรจะให้พระผู้มีพระภาค ทรงพอพระหฤทัยก่อน พ่อให้พระองค์
ทรงพอพระหฤทัยก่อนแล้ว ภายหลัง พวก เราจึงควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ฯ
ปัญจสิขคันธรรพบุตรทูลรับท้าวสักกะจอมเทพแล้ว จึงถือเอาพิณมีสี เหลืองดังผลมะตูม
เข้าไปยังถ้ำอินทสาละ ครั้นแล้วประมาณดูว่า เพียงนี้ พระผู้มีพระภาคจะประทับอยู่ไม่ไกล ไม่
ใกล้เรานัก และจักทรงได้ยินเสียงเรา แล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ปัญจสิขคันธรรพบุตร
ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ถือพิณมีสีเหลืองดังผลมะตูมบรรเลงขึ้น และได้กล่าวคาถาเหล่านี้
อันเกี่ยวด้วย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระอรหันต์ และกาม ว่า
[๒๔๘] ดูกรแม่ภัททาสุริยวัจฉสา ฉันขอไหว้ท้าวติมพรุบิดาเธอ โดยเหตุที่เธอเกิด
เป็นนางงาม ปลูกความปลื้มให้แก่ฉัน เหมือนลม เป็นที่ปรารถนาของผู้มี
เหงื่อ หรือน้ำดื่มเป็นที่ปรารถนาของผู้ ระหาย เธอผู้จำรัสโฉม เป็นที่รัก
ของฉัน คล้ายกันกับธรรม เป็นที่รักของเหล่าพระอรหันต์ฉะนั้น ขอเธอ
ช่วยดับความ เร่าร้อน เหมือนช่วยวางยาคนไข้ผู้กระสับกระส่าย หรือให้
โภชนะแก่ผู้หิว หรือดับไฟที่ลุกอยู่ด้วยน้ำ ขอให้ฉันซบลงจด ณ ถันและ
อุทรของเธอ เหมือนช้างผู้ร้อนจัดในหน้าร้อน หยั่งลง สระโบกขรณี มีน้ำ
เย็นประกอบด้วยละอองแห่งเกสรดอกปทุม ฉะนั้น ฉันมึนเมาแล้ว
เพราะช่วงขาอันสมบูรณ์ด้วยลักษณะ ไม่รู้สึกถึงเหตุการณ์ เหมือนช้าง
เหลือขอ ไม่ยอมรับรู้แหลน และหอกซัด ด้วยถือว่าตนชนะแล้ว ฉะนั้น
ฉันมีใจจดจ่อในเธอ ฉันไม่อาจกลับดวงจิตที่แปรปรวนไปแล้ว เหมือนปลา
ที่กลืนเบ็ด เสียแล้ว ฉะนั้น นางผู้เจริญ ขอเธอเอาขาซ้ายกระหวัดฉันไว้
ขอ เธอผู้มีดวงตาอันอ่อนหวาน จงกระหวัดฉันไว้ ขอเธอผู้งดงามจง สวม
กอดฉัน นั่น เป็นข้อที่ฉันปรารถนายิ่งนัก ความใคร่ของ ฉันในเธอผู้มีผม