พระสุตตันตปิฎกไทย: 10/200/249
สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค
เป็นลูกคลื่น ถึงจะมีน้อยก็เกิดผลมาก เหมือน ทักษิณาที่ถวายในพระ
อรหันต์ ฉะนั้น บุญอันใดที่ฉันได้ทำไว้ แล้วในพระอรหันต์ผู้คงที่ มีอยู่
ดูกรนางผู้งามทั่วสรรพางค์ ขอบุญอันนั้นของฉัน จงอำนวยผลแก่ฉัน พร้อม
กับด้วยเธอ บุญอันใดที่ฉันได้ทำไว้ในปฐพีมณฑลนี้ มีอยู่ ดูกรนางผู้งาม
พร้อม ขอบุญอันนั้นของฉันจงอำนวยผลแก่ฉัน พร้อมกับด้วยเธอ ดูกร
แม่สุริยวัจฉสา ฉันปรารถนาเธอเหมือนพระศากย บุตรพุทธเจ้า ทรงเข้า
ฌานอยู่พระองค์เดียว มีพระปัญญารักษา พระองค์ ทรงมีพระสติ เป็นมุนี
ทรงแสวงหาอมตะ พระผู้ จอมปราชญ์ได้บรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด
แล้ว พึงชื่นชม ฉันใด เธอผู้งดงาม ถ้าฉันได้อยู่ร่วมกับเธอ ก็จะพึง
ชื่นชม ฉันนั้น ถ้าท้าวสักกะผู้เป็นอิสระของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ จะ
ประทานพรแก่ฉันไซร้ ฉันจะพึงเลือกเอาเธอเป็นแท้ ความอยากได้ของฉัน
มั่นคงถึงเพียงนี้ ดูกรแม่ผู้เฉลียวฉลาด ท่าน ผู้ใดมีธิดาเช่นนี้ ฉันขอ
น้อมไหว้ท่านผู้นั้น ซึ่งเป็นบิดาของเธอ ซึ่งเป็นประดุจสาลพฤกษ์เผล็ด
ดอกไม่นาน ฉะนั้น ฯ
[๒๔๙] เมื่อปัญจสิขคันธรรพบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสกะปัญจ
สิขคันธรรพบุตรว่า ดูกรปัญจสิขะ เสียงสายของท่านเทียบได้กับ เสียงเพลงขับ และเสียงเพลง
ขับของท่านเทียบได้กับเสียงสาย ก็เสียงสายของ ท่าน ไม่เกินเสียงเพลงขับ และเสียงเพลง
ขับ ไม่เกินเสียงสาย ก็คาถาเหล่านี้ อันเกี่ยวด้วยพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระอรหันต์
และกาม ท่าน ประพันธ์ขึ้นเมื่อไร ฯ
ปัญจสิขคันธรรพบุตรทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ประพันธ์ ขึ้นเมื่อสมัยที่
พระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ใต้ต้นไม้อชปาลนิโครธ แทบ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลา
ประเทศ ก็สมัยนั้น ข้าพระองค์ได้รักใคร่ธิดาของ ท้าวติมพรุคันธรรพราชผู้มีนามว่า ภัททาสุริย
วัจฉสา แต่นางรักใคร่กับผู้อื่นเสีย คือรักใคร่บุตรของมาตลีสังคาหกเทวบุตร นามว่า สิขัณฑิ
เมื่อข้าพระองค์ไม่ได้ นางนั้นโดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จึงถือเอาพิณมีสีเหลืองดังผลมะตูม
เข้า ไปยังนิเวศน์ของท้าวติมพรุคันธรรพราช ครั้นแล้วจึงถือพิณมีสีเหลืองดังผลมะตูม บรรเลงขึ้น
และได้กล่าวคาถาเหล่านี้ อันเกี่ยวด้วยพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระอรหันต์ และ
กามว่า