พระสุตตันตปิฎกไทย: 23/210/138
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
มนาปกายิกาธรรม ๘ ประการเป็นไฉน ดูกรวิสาขา มาตุคามในโลกนี้ ที่มารดาบิดาผู้มุ่งประโยชน์
แสวงหาความเกื้อกูล อนุเคราะห์ เอื้อเอ็นดู ยอมยกให้แก่ชายใดผู้เป็นสามี สำหรับชายนั้น
เธอต้องตื่นก่อน นอนภายหลัง คอยฟังรับใช้ ประพฤติให้ถูกใจ กล่าวถ้อยคำเป็นที่รัก ฯลฯ
เป็นผู้มีการบริจาค มีใจปราศจากมลทินคือ ความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว
มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน ดูกรวิสาขา มาตุคาม
ประกอบ ด้วยธรรม ๘ ประการนี้แล เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่า
มนาปกายิกา ฯ
สุภาพสตรีผู้มีปรีชา ย่อมไม่ดูหมิ่นสามี ผู้หมั่นเพียร
ขวนขวายอยู่เป็นนิตย์ เลี้ยงตนอยู่ทุกเมื่อ ให้ความปรารถนา
ทั้งปวง ไม่ยังสามีให้ขุ่นเคือง ด้วยถ้อยคำแสดงความ
หึงหวง และย่อมบูชาผู้ที่เคารพทั้งปวงของสามี เป็นผู้ขยัน
ไม่เกียจคร้าน สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามี ประพฤติ
เป็นที่พอใจของสามี รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ นารีใดย่อม
ประพฤติตามความชอบใจของสามีอย่างนี้ นารีนั้นย่อมเข้าถึง
ความเป็นเทวดาเหล่ามนาปกายิกา ฯ
จบสูตรที่ ๗
นกุลสูตร
[๑๓๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เภสกลามิคทายวัน แขวงเมือง
สุงสุมารคีระ แคว้นภัคคชนบท ครั้งนั้นแล คหปตานีชื่อนกุลมารดาเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้
ตรัสว่า ดูกรนกุลมารดา มาตุคามประกอบด้วยธรรม ๘ ประการนี้ เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายแห่งเทวดาเหล่ามนาปกายิกา ธรรม ๘ ประการเป็นไฉน ดูกรนกุลมารดา มาตุคาม
ในโลกนี้ ที่มารดาบิดามุ่งประโยชน์ แสวงหาความเกื้อกูล อนุเคราะห์ เอื้อเอ็นดู ย่อมยกให้
แก่ชายใดผู้เป็นสามี สำหรับชายนั้น เธอต้องตื่นก่อน นอนภายหลัง คอยฟังรับใช้ ประพฤติ