พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/214/690 691

สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
เล่ม 15
หน้า 214
ไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะพราหมณ์มหาศาลนั้น ผู้นั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่งแล้วว่า ดูกรพราหมณ์ทำไมท่านจึงเป็นคนปอน นุ่งห่มก็ปอน ฯ พราหมณ์มหาศาลกราบทูลว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม พวกบุตรของข้าพระองค์ ๔ คน ในบ้านนี้คบคิดกับภรรยาแล้วขับข้าพระองค์ออกจากเรือน ฯ
[๖๙๐] ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเรียนคาถานี้แล้ว เมื่อหมู่มหาชนประชุมกัน ที่สภา และเมื่อพวกบุตรมาประชุมพร้อมแล้ว จงกล่าวว่า เราชื่นชม และปรารถนาความเจริญแก่บุตรเหล่าใด บุตรเหล่านั้นคบคิด กันกับภรรยารุมว่าเรา ดังสุนัขรุมเห่าสุกร เขาว่าพวกมันเป็นอสัตบุรุษ ลามก ร้องเรียกเราว่าพ่อๆ พวกมันประดุจยักษ์แปลงเป็นบุตรมา ละทิ้ง เราผู้ล่วงเข้าปัจฉิมวัยไว้ ฯ พวกมันกำจัดคนแก่ไม่มีสมบัติออกจากที่ (อาศัย) กิน ดังม้าแก่ที่เจ้าของ ปล่อยทิ้งฉะนั้น ฯ บิดาของบุตรพาลเป็นผู้เฒ่าต้องขอในเรือนผู้อื่นได้ยินว่าไม้เท้าของเรา ยังจะดีกว่า พวกบุตรที่ไม่เชื่อฟังจะดีอะไร เพราะไม้เท้ายังป้องกันโค หรือสุนัขดุได้ ในที่มืดยังใช้ยันไปข้างหน้าได้ ในที่ลึกยังใช้หยั่งดูได้ พลาดแล้วยังยั้งอยู่ได้ด้วยอานุภาพไม้เท้า ฯ
[๖๙๑] ครั้งนั้นแล พราหมณ์มหาศาลนั้นเรียนคาถานี้ในสำนักพระผู้พระภาคแล้ว เมื่อหมู่มหาชนประชุมกันในสภา และเมื่อพวกบุตรมาประชุมแล้วจึงได้กล่าวว่า เราชื่นชมและปรารถนาความเจริญแก่บุตรเหล่าใด บุตรเหล่านั้น คบคิด กันกับภรรยารุมว่าเรา ดังสุนัขรุมเห่าสุกร เขาว่าพวกมันเป็นอสัตบุรุษ ลามก ร้องเรียกเราว่าพ่อๆ พวกมันประดุจยักษ์แปลงเป็นบุตรมา ละทิ้งเราผู้ล่วงเข้าปัจฉิมวัยไว้ ฯ พวกมันกำจัดคนแก่ไม่มีสมบัติออกจากที่ (อาศัย) กินดังม้าแก่ที่เจ้าของ ปล่อยทิ้งฉะนั้น ฯ บิดาของบุตรพาลเป็นผู้เฒ่าต้องขอในเรือนผู้อื่น ได้ยินว่าไม้เท้าของเรา ยังจะดีกว่า พวกบุตรที่ไม่เชื่อฟังจะดีอะไร เพราะไม้เท้ายังป้องกันโค