พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/216/696 697 698 699 700
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคไม่ตรัสด้วย มานัตถัทธพราหมณ์ต้องการจะกลับจากที่นั้น ด้วยคิดว่า
พระสมณโคดมนี้ไม่รู้อะไร ฯ
[๖๙๖] ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกในใจของมานัตถัทธพราหมณ์ด้วย
พระหฤทัยแล้ว ได้ตรัสกะมานัตถัทธพราหมณ์ด้วยพระคาถาว่า
ดูกรพราหมณ์ ใครในโลกนี้มีมานะไม่ดีเลย ผู้ใดมาด้วยประโยชน์ใด
ผู้นั้นพึงเพิ่มพูนประโยชน์นั้นแล ฯ
[๖๙๗] ครั้งนั้น มานัตถัทธพราหมณ์คิดว่า พระสมณโคดมทราบจิตเรา จึงหมอบ
ลงด้วยศีรษะที่ใกล้พระบาทพระผู้มีพระภาค ณ ที่นั้นเอง แล้วจูบพระบาทพระผู้มีพระภาคด้วยปาก
และนวดด้วยมือ ประกาศชื่อว่า ข้าแต่ท่านพระโคดมข้าพระองค์มีนามว่า มานัตถัทธะๆ ฯ
ครั้งนั้น บริษัทนั้นเกิดประหลาดใจว่า น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีหนอ มานัตถัทธ
พราหมณ์นี้ไม่ไหว้มารดา บิดา อาจารย์ พี่ชาย แต่พระสมณโคดมทรงทำคนเห็นปานนี้ให้ทำ
นอบนบได้เป็นอย่างดียิ่ง ฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะมานัตถัทธพราหมณ์ว่า พอละพราหมณ์ เชิญลุกขึ้น
นั่งบนอาสนะของตนเถิด เพราะท่านมีจิตเลื่อมใสในเราแล้ว ฯ
[๖๙๘] ลำดับนั้น มานัตถัทธพราหมณ์นั่งบนอาสนะของตนแล้วได้กราบทูลพระผู้มี
พระภาคด้วยคาถาว่า
ไม่ควรทำมานะในใคร ควรมีความเคารพในใคร พึงยำเกรงใคร บูชาใคร
ด้วยดีแล้ว จึงเป็นการดี ฯ
[๖๙๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ไม่ควรทำมานะในมารดา บิดา พี่ชาย และในอาจารย์เป็นที่ ๔ พึงมี
ความเคารพในบุคคลเหล่านั้น พึงยำเกรงบุคคลเหล่านั้น บูชาบุคคล
เหล่านั้นด้วยดีแล้วจึงเป็นการดี บุคคลพึงทำลายมานะเสีย ไม่ควรมี
ความกระด้างในพระอรหันต์ผู้เย็นสนิท ผู้ทำกิจเสร็จแล้ว หาอาสวะมิได้
ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเพราะอนุสัยนั้น ฯ
[๗๐๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว มานัตถัทธพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มี
พระภาคว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนักข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิต