พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/219/710 711 712
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ก็สมัยนั้น พวกมาณพหลายคน ซึ่งเป็นอันเตวาสิกของพราหมณ์ภารทวาชโคตรคนหนึ่ง
เที่ยวหาฟืนพากันเข้าไปยังไพรสณฑ์นั้น แล้วได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งพระกาย
ตรง ดำรงพระสติไว้เฉพาะหน้า อยู่ในไพรสณฑ์นั้น จึงเข้าไปหาพราหมณ์ภารทวาชโคตรถึงที่อยู่
แล้วบอกพราหมณ์ภารทวาชโคตรว่า ขอท่านพึงทราบ พระสมณโคดมประทับนั่งคู้บัลลังก์ ตั้ง
พระกายตรง ดำรงพระสติไว้เฉพาะหน้า อยู่ในไพรสณฑ์ ฯ
[๗๑๐] ลำดับนั้น พราหมณ์ภารทวาชโคตรพร้อมด้วยมาณพเหล่านั้นเข้าไปยังไพรสณฑ์
นั้นแล้ว ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติไว้เฉพาะหน้า
ครั้นเห็นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณที่นั้น แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
ภิกษุ ท่านเข้าไปสู่ป่าที่ว่างเปล่าปราศจากคนในป่าหนาทึบ น่าหวาด
เสียวนัก มีกายไม่หวั่นเป็นประโยชน์ งาม เพ่งพินิจอย่างดีหนอ
ท่านเป็นมุนีอาศัยป่า อยู่ในป่าผู้เดียว ซึ่งไม่มีการขับร้อง และการ
บรรเลง การที่ท่านมีจิตยินดี อยู่ในป่าแต่ผู้เดียวนี้ ปรากฏเป็นข้อ
น่าอัศจรรย์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าปรารถนาไตรทิพย์อันสูงสุด จึง
มุ่งหมายความเป็นสหายกับท้าวมหาพรหมผู้เป็นอธิบดีของโลก เหตุไร
ท่านจึงชอบใจป่าที่ปราศจากคน ท่านทำความเพียรในที่นี้เพื่อบังเกิด
เป็นพรหมหรือ ฯ
[๗๑๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ความมุ่งหวังหรือความเพลิดเพลินอย่างใดๆ ในอารมณ์หลายชนิด ซึ่งมี
ประจำอยู่ทุกเมื่อ นานาประการ หรือตัณหาอันเป็นเหตุให้กระชับแน่น
ซึ่งมีอวิชชาเป็นมูลราก ก่อให้เกิดทั้งหมด เราทำให้สิ้นสุดพร้อมทั้งราก
แล้ว เราจึงไม่มีความมุ่งหวัง ไม่มีตัณหาประจำ ไม่มีตัณหาเข้ามาใกล้
มีปรกติเห็นหมดจดในธรรมทั้งปวง บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุดประเสริฐ
เราควรเป็นพรหม แกล้วกล้าเพ่งอยู่ ฯ
[๗๑๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว พราหมณ์ภารทวาชโคตรได้กราบทูลพระ
ผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนักท่านพระโคดม ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของ