พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/22/31 32
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
[๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ท่านสมณ พราหมณ์พวก
บัญญัติอัตตาที่ไม่มีสัญญาว่ายั่งยืนเบื้องหน้าแต่ตายไป ย่อมบัญญัติอัตตาที่ไม่มีสัญญา
(๑) ชนิดมีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
(๒) ชนิดไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
(๓) ชนิดทั้งมีรูปและไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
(๔) ชนิดมีรูปก็มิใช่ไม่มีรูปก็มิใช่ ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์พวก บัญญัติอัตตาที่มี
สัญญาว่ายั่งยืนเบื้องหน้าแต่ตายไป ย่อมคัดค้านสมณพราหมณ์พวกอสัญญีวาทะนั้น นั่นเพราะ
เหตุไร เพราะสัญญาเป็นเหมือนโรค เป็นเหมือนหัวฝี เป็นเหมือนลูกศร สิ่งดี ประณีต นี้คือ
ความไม่มีสัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลายตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี ฯ
ท่านสมณพราหมณ์พวกบัญญัติอัตตาที่ไม่มีสัญญาว่ายั่งยืนเบื้องหน้าแต่ตายไป ย่อม
บัญญัติอัตตาที่ไม่มีสัญญา
(๑) ชนิดมีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
(๒) ชนิดไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
(๓) ชนิดทั้งมีรูปและไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
(๔) ชนิดมีรูปก็มิใช่ไม่มีรูปก็มิใช่ ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณพราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่งพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจักบัญญัติการมาเกิด
หรือการไปเกิด การจุติ การอุปบัติ ความเจริญ ความงอกงาม ความไพบูลย์ นอกจากรูป
นอกจากเวทนา นอกจากสัญญา นอกจากสังขารนอกจากวิญญาณ คำกล่าวดังนี้ของ
สมณพราหมณ์นั้น ไม่ใช่ฐานะที่มีได้ เรื่อง ไม่มีสัญญาดังนี้นั้น อันปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหยาบ
และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่ ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบายเป็นเครื่อง
สลัดออกจากสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น เป็นไปล่วงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้ ฯ
[๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ท่านสมณ พราหมณ์พวก
บัญญัติอัตตาที่มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ย่อมบัญญัติ
อัตตาที่มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่