พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/223/260

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เล่ม 25
หน้า 223
และความไม่สักการะทั้งสองครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เรากล่าวคำนั้นแล้วว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้เห็นสัตว์อันสักการะครอบงำย่ำยี จิตแล้ว ... เข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก เพราะได้ฟังต่อสมณะหรือพราหมณ์อื่นก็หามิได้ ก็แต่ว่าเรารู้มาเอง เห็นมาเอง ทราบมาเอง จึงกล่าวคำนั้นแลว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราได้เห็น สัตว์อันสักการะครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกเราได้เห็นสัตว์อันความ ไม่สักการะครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก เราได้เห็นสัตว์อันสักการะ และความไม่สักการะทั้งสองครอบงำย่ำยีจิตแล้วเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฯ สมาธิของบุคคลใดผู้อันบุคคลสักการะอยู่ ผู้มีปรกติอยู่ด้วยความไม่ ประมาท ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะสักการะและความไม่สักการะทั้งสอง พระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นกล่าว บุคคลมีปรกติเพ่ง ผู้มี ความเพียรเป็นไปติดต่อผู้เห็นแจ้งทิฐิอันสุขุม มีความสิ้นอุปาทาน เป็นที่มายินดีว่าเป็นสัปบุรุษ ฯ จบสูตรที่ ๒ ๓. สัททสูตร
[๒๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียง (ที่เกิดขึ้นเพราะปีติ) ของเทวดา๓ อย่างนี้ ย่อมเปล่งออกไปในเหล่าเทวดาเพราะอาศัยสมัยแต่สมัย ๓ อย่างเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยใด พระอริยสาวกย่อมคิดเพื่อจะปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้า กาสายะ ออกบวชเป็นบรรพชิต ในสมัยนั้น เสียงของเทวดาย่อมเปล่งออกไปในเหล่าเทวดาว่า พระอริยสาวกนี้ย่อมคิดเพื่อทำสงครามกับมาร ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเสียงของเทวดาข้อที่ ๑ ย่อมเปล่งออกไปในเหล่าเทวดาเพราะอาศัยสมัยแต่สมัย ฯ อีกประการหนึ่ง ในสมัยใด พระอริยสาวกประกอบความเพียรในการเจริญโพธิปักขิยธรรม ๗ ประการ ในสมัยนั้น เสียงของเทวดาย่อมเปล่งออกไปในเหล่าเทวดาว่า พระอริยสาวกนั้น ทำสงครามกับมาร ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเสียงของเทวดา ข้อที่ ๒ ย่อมเปล่งออกไปในเหล่า เทวดาเพราะอาศัยสมัยแต่สมัย