พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/224/261
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
อีกประการหนึ่ง ในสมัยใด พระอริยสาวกกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ
อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
ในสมัยนั้น เสียงของเทวดาย่อมเปล่งออกไปในเหล่าเทวดาว่า พระอริยสาวกนี้พิชิตสงคราม
ชนะแดนแห่งสงครามนั้นแล้วครอบครองอยู่ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเสียงของเทวดาข้อที่ ๓
ย่อมเปล่งออกไปในเหล่าเทวดาเพราะอาศัยสมัยแต่สมัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงของเทวดา
๓ ประการนี้แลย่อมเปล่งออกไปในเหล่าเทวดาเพราะอาศัยสมัยแต่สมัย ฯ
แม้เทวดาทั้งหลาย เห็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ชนะสงคราม
แล้ว เป็นผู้ใหญ่ ปราศจากความครั่นคร้ามย่อมนอบน้อมด้วยคำว่า
ข้าแต่ท่านบุรุษอาชาไนย ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้ครอบงำกิเลสที่เอาชนะ
ได้ยาก ชนะเสนาแห่งมัจจุ ผู้กางกั้นไว้มิได้ด้วยวิโมกข์เทวดาทั้งหลาย
ย่อมนอบน้อมพระขีณาสพผู้มีอรหัตผลอันบรรลุแล้วนี้ ด้วยประการฉะนี้
เพราะเทวดาทั้งหลายไม่เห็นเหตุแม้มีประมาณน้อย ของพระขีณาสพ
ผู้เป็นบุรุษอาชาไนยนั้นอันเป็นเหตุให้ท่านเข้าถึงอำนาจของมัจจุได้ ฉะนั้น
จึงพากันนอบน้อมพระขีณาสพนั้น ฯ
จบสูตรที่ ๓
๔. จวมานสูตร
[๒๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด เทวดาเป็นผู้จะต้องจุติจากเทพนิกายเมื่อนั้น
นิมิตร ๕ ประการ ย่อมปรากฏแก่เทวดานั้น คือ ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง ๑ผ้าย่อมเศร้าหมอง ๑
เหงื่อย่อมไหลออกจากรักแร้ ๑ ผิวพรรณเศร้าหมองย่อมปรากฏที่กาย ๑ เทวดาย่อมไม่ยินดีใน
ทิพอาสน์ของตน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายเทวดาทั้งหลายทราบว่า เทพบุตรนี้จะต้องเคลื่อนจาก
เทพนิกาย ย่อมพลอยยินดีกะเทพบุตรนั้นด้วยถ้อยคำ ๓ อย่างว่า แน่ะท่านผู้เจริญ ขอท่านจาก
เทวโลกนี้ไปสู่สุคติ ๑ ครั้นไปสู่สุคติแล้ว ขอจงได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว ๑ ครั้นได้ลาภที่ท่าน
ได้ดีแล้ว ขอจงเป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยดี ๑ ฯ