พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/226/730 731 732
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ถึงแม้ว่าสตรีมากยิ่งกว่านี้จักมา สตรีเหล่านั้นก็จักเบียดเบียนเรา ผู้ตั้งมั่น
แล้วในธรรมของตนไม่ได้เลย (ฉันนั้น)
เพราะว่า เราได้ฟังทางเป็นที่ไปสู่พระนิพพานนี้ในที่เฉพาะพระพักตร์
ของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ พระอาทิตย์แล้วใจของเรายินดีแล้วใน
ทางเป็นที่ไปสู่พระนิพพานนั้น ฯ
แน่ะมารผู้ชั่วร้าย ถ้าท่านจะเข้ามาหาเราผู้อยู่อย่างนี้ แน่ะมฤตยุราช
เราจักทำโดยวิธีที่ท่านจักไม่เห็นแม้ซึ่งทางของเราได้เลย ดังนี้ ฯ
อรติสูตรที่ ๒
[๗๓๐] สมัยหนึ่ง ท่านวังคีสะ อยู่ที่อัคคาฬวเจดีย์ เขตเมืองอาฬวีกับท่านพระ
นิโครธกัปปะผู้เป็นอุปัชฌาย์ โดยสมัยนั้นแล ท่านพระนิโครธกัปปะกลับจากบิณฑบาตในเวลา
ปัจฉาภัต ย่อมเข้าไปสู่วิหาร ย่อมออกในเวลาเย็นบ้างในวันรุ่งขึ้นหรือในเวลาภิกษาจารบ้าง ฯ
[๗๓๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ความกระสันย่อมบังเกิดขึ้น ความกำหนัดย่อมรบกวนจิต
ของท่านพระวังคีสะ ลำดับนั้น ท่านพระวังคีสะมีความคิดดังนี้ว่าไม่เป็นลาภของเราหนอ ไม่ใช่
ลาภของเราหนอ เราได้ชั่วเสียแล้วหนอ เราไม่ได้ดีเสียแล้วหนอ ที่เราเกิดความกระสันขึ้นแล้ว
ที่ความกำหนัดรบกวนจิตเรา เราจะได้เหตุที่คนอื่นๆ จะพึงบรรเทาความกระสันแล้วยังความ
ยินดีให้เกิดขึ้นแก่เราในความกำหนัดที่เกิดขึ้นแล้วนี้แต่ที่ไหน อย่ากระนั้นเลย เราพึงบรรเทา
ความกระสันแล้ว ยังความยินดีให้เกิดขึ้นแก่ตนด้วยตนเองเถิด ฯ
[๗๓๒] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะบรรเทาความกระสันแล้ว ยังความยินดี
ให้เกิดขึ้นแก่ตนด้วยตนเอง ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า
บุคคลใดละความไม่ยินดี (ในศาสนา) และความยินดี (ในกามคุณ
ทั้งหลาย) และวิตกอันอาศัยเรือนโดยประการทั้งปวงแล้ว ไม่พึงทำป่า
ใหญ่คือกิเลสในอารมณ์ไหนๆ เป็นผู้ไม่มีป่าคือกิเลส เป็นผู้ไม่น้อมใจ
ไปแล้ว ผู้นั้นแลชื่อว่าเป็นภิกษุ ฯ
รูปอย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้ ที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินก็ดี ทั้งตั้งอยู่ใน
เวหาสก็ดี ที่อยู่ในแผ่นดินก็ดี ย่อมทรุดโทรม เป็นของไม่เที่ยง
ทั้งหมด บุคคลทั้งหลายผู้สำนึกตน ย่อมถึงความตกลงอย่างนี้เที่ยวไป ฯ