พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/227/733 734
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ชนทั้งหลายเป็นผู้ติดแล้ว ในอุปธิทั้งหลายคือ ในรูปอันตนเห็นแล้ว
ในเสียงอันตนได้ฟังแล้ว ในกลิ่นและรสอันตนได้กระทบแล้ว และใน
โผฏฐัพพารมณ์อันตนรู้แล้ว ท่านจงบรรเทาความพอใจในกามคุณ ๕
เหล่านั้น เป็นผู้ไม่หวั่นไหวบุคคลใดไม่ติดอยู่ในกามคุณ ๕ เหล่านั้น
บัณฑิตทั้งหลายเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นมุนี ฯ
วิตกของคนทั้งหลายอาศัยปิยรูปสาตรูป ๖๐ เป็นอันมาก ตั้งลงแล้ว
โดยไม่เป็นธรรมในหมู่ปุถุชน บุคคลไม่พึงถึงวังวนกิเลสในอารมณ์
ไหนๆ และบุคคลผู้ไม่พูดจาชั่วหยาบ จึงชื่อว่าเป็นภิกษุ ฯ
บัณฑิตผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วตลอดกาลนาน ผู้ไม่ลวงโลก ผู้มีปัญญาแก่กล้า
ผู้ไม่ทะเยอทะยาน เป็นมุนี ผู้ถึงบทอันระงับแล้ว อาศัยพระนิพพาน
เป็นผู้ดับกิเลสได้แล้ว ย่อมรอคอยกาล (เป็นที่ปรินิพพาน) ดังนี้ ฯ
เปสลาติมัญญนาสูตรที่ ๓
[๗๓๓] สมัยหนึ่ง ท่านพระวังคีสะอยู่ที่อัคคาฬวเจดีย์ เขตเมืองอาฬวี กับท่านพระ
นิโครธกัปปะผู้อุปัชฌาย์ ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระวังคีสะนึกดูหมิ่นภิกษุทั้งหลาย ผู้มีศีลเป็น
ที่รักเหล่าอื่น ด้วยปฏิภาณของตน ฯ
ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะมีความคิดดังนี้ว่า ไม่เป็นลาภของเราหนอ ไม่ใช่ลาภของเรา
หนอ เราได้ชั่วเสียแล้วหนอ เราไม่ได้ดีเสียแล้วหนอ ที่เราดูหมิ่นภิกษุทั้งหลาย ผู้มีศีลเป็นที่
รักเหล่าอื่น ด้วยปฏิภาณของตน ดังนี้ ฯ
[๗๓๔] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะยังความวิปฏิสารให้เกิดขึ้นแก่ตนด้วยตนเองแล้ว
ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า
ดูกรท่านผู้เป็นสาวกของพระโคดม ท่านจงละมานะเสียท่านจงละหนทาง
แห่งมานะในโลกนี้เสีย อย่าให้มีส่วนเหลือได้ (เพราะ) หมู่สัตว์ผู้อัน
ความลบหลู่ทำให้มัวหมอง แล้วย่อมเป็นผู้มีความเดือดร้อนตลอดกาล
นาน สัตว์ทั้งหลายผู้อันมานะกำจัดแล้วย่อมตกนรก ชนทั้งหลายผู้อัน