พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/228/735 736 737
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
มานะกำจัดแล้ว เข้าถึงนรกแล้ว ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน ภิกษุผู้
ชำนะกิเลสด้วยมรรคเป็นผู้ปฏิบัติชอบ ย่อมไม่เศร้าโศกเลยในกาลไหนๆ
ย่อมได้รับเกียรติคุณและความสุข บัณฑิตทั้งหลายย่อมเรียกภิกษุผู้เช่น
นั้นว่า เป็นผู้เห็นธรรม เพราะฉะนั้น ท่านจงเป็นผู้ไม่มีกิเลสเพียงตะปู
เครื่องตรึงใจในโลกนี้ เป็นผู้มีความเพียรจงละนิวรณ์ทั้งหลายเสีย
เป็นผู้บริสุทธิ์ และละมานะอย่าให้มีส่วนเหลือแล้ว ทำที่สุดแห่งกิเลส
ด้วยวิชชา เป็นผู้สงบระงับ ดังนี้ ฯ
อานันทสูตรที่ ๔
[๗๓๕] สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ฯ
ครั้งนั้นแล ในเวลาเช้า ท่านพระอานนท์นุ่งห่มแล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปเที่ยว
บิณฑบาตในพระนครสาวัตถี มีท่านพระวังคีสะเป็นปัจฉาสมณะ ก็โดยสมัยนั้นแล ความกระสัน
ได้เกิดขึ้น ความกำหนัดย่อมรบกวนจิตของท่านพระวังคีสะ ฯ
[๗๓๖] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ด้วยคาถาว่า
ข้าพเจ้าเร่าร้อนเพราะกามราคะ จิตของข้าพเจ้ารุ่มร้อน ขอท่านจงบอก
วิธีเป็นเครื่องดับราคะ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ท่านผู้โคดม ฯ
ท่านพระอานนท์จึงกล่าวว่า
[๗๓๗] จิตของท่านรุ่มร้อน เพราะสัญญาอันวิปลาส ท่านจงละเว้นนิมิตอัน
สวยงาม อันเป็นที่ตั้งแห่งราคะเสีย ท่านจงเห็นสังขารทั้งหลาย โดย
ความเป็นของแปรปรวน โดยเป็นทุกข์และอย่าเห็นโดยความเป็นตน
ท่านจงดับราคะอันแรงกล้าท่านจงอย่าถูกราคะเผาผลาญบ่อยๆ ท่าน
จงเจริญจิตในอสุภกัมมัฏฐาน ให้เป็นจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียวตั้งมั่น
ด้วยดีเถิด ท่านจงมีกายคตาสติ ท่านจงเป็นผู้มากด้วยความหน่าย ท่าน
จงเจริญความไม่มีนิมิต และจงถอนมานานุสัยเสีย เพราะการรู้เท่าถึง
มานะ ท่านจักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป ดังนี้ ฯ