พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/229/267 268
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
[๒๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุศลวิตก ๓ ประการนี้ ไม่กระทำความมืดมนกระทำ
ปัญญาจักษุ กระทำญาณ ยังปัญญาให้เจริญ ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไป
เพื่อนิพพาน กุศลวิตก ๓ ประการเป็นไฉน คือ เนกขัมมวิตก ๑ อพยาบาทวิตก ๑
อวิหิงสาวิตก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุศลวิตก ๓ประการนี้แล ไม่กระทำความมืดมน กระทำ
ปัญญาจักษุ กระทำญาณ ยังปัญญาให้เจริญ ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพื่อ
นิพพาน ฯ
พึงตรึกกุศลวิตก ๓ ประการ แต่พึงนำอกุศลวิตก ๓ ประการออกเสีย
พระโยคาวจรนั้นแล ยังมิจฉาวิตกทั้งหลายให้สงบระงับ เปรียบเหมือน
ฝนยังธุลีที่ลมพัดฟุ้งขึ้นแล้วให้สงบฉะนั้น พระโยคาวจรนั้น มีใจอัน
เข้าไปสงบวิตก ได้ถึงสันตบทคือนิพพานในปัจจุบันนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๘
๙. มลสูตร
[๒๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มลทินในภายใน ๓ ประการนี้ เป็นอมิตรเป็นศัตรู
เป็นผู้ฆ่า เป็นข้าศึกในภายใน ๓ ประการเป็นไฉน คือ โลภะ ๑โทสะ ๑ โมหะ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มลทินในภายใน ๓ ประการนี้แล เป็นอมิตร เป็นศัตรู เป็นผู้ฆ่า
เป็นข้าศึกในภายใน ฯ
โลภะให้เกิดความฉิบหายโลภะทำจิตให้กำเริบชนไม่รู้สึกโลภะนั้น
อันเกิดแล้วในภายในว่าเป็นภัย คนโลภย่อมไม่รู้ประโยชน์ย่อมไม่
เห็นธรรม โลภะย่อมครอบงำนรชนในขณะนั้น ความมืดตื้อย่อมมีใน
ขณะนั้น ก็ผู้ใดละความโลภได้ขาด ย่อมไม่โลภในอารมณ์เป็นที่ตั้ง
แห่งความโลภ ความโลภอันอริยมรรคย่อมละเสียได้จากบุคคลนั้น
เปรียบเหมือนหยดน้ำตกไปจากใบบัวฉะนั้น โทสะให้เกิดความฉิบหาย
โทสะทำจิตให้กำเริบ ชนไม่รู้จักโทสะนั้นอันเกิดในภายในว่าเป็นภัย
คนโกรธย่อมไม่รู้จักประโยชน์ ย่อมไม่เห็นธรรม โทสะย่อมครอบงำ