พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/231/743 744 745
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
[๗๔๓] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะได้สรรเสริญท่านพระสารีบุตร ต่อหน้าด้วยคาถา
ทั้งหลายอันสมควรว่า
ท่านสารีบุตรเป็นนักปราชญ์ มีปัญญาลึกซึ้ง ฉลาดในทางและมิใช่
ทาง มีปัญญามาก ย่อมแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายแสดงโดยย่อก็ได้
แสดงโดยพิสดารก็ได้ เสียงของท่านไพเราะดังก้อง เหมือนเสียง
นกสาริกา ปฏิภาณเกิดขึ้นโดยไม่รู้สิ้นสุด เมื่อท่านแสดงธรรมอยู่ ภิกษุ
ทั้งหลายย่อมฟังเสียงอันไพเราะ เป็นผู้ปลื้มจิตยินดีด้วยเสียงอันเพราะ
น่ายินดี น่าฟัง เงี่ยโสตอยู่ ดังนี้ ฯ
ปวารณาสูตรที่ ๗
[๗๔๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับที่พระวิหารบุพพาราม ปราสาทของนางวิสาขา
ผู้เป็นมารดามิคารเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี กับพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป
ล้วนเป็นอรหันต์ทั้งหมด ฯ
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเป็นผู้อันภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่งในที่แจ้ง
เพื่อทรงปวารณาในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ฯ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูเห็นภิกษุสงฆ์เป็นผู้นิ่งอยู่แล้ว จึงรับสั่งกะภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอปวารณาเธอทั้งหลายเธอทั้งหลายจะไม่ติเตียน
กรรมไรๆ ที่เป็นไปทางกายหรือทางวาจาของเราบ้างหรือ ฯ
[๗๔๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรลุกขึ้นจากอาสนะ ทำ
ผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่งแล้ว ประนมอัญชลีเฉพาะพระผู้มีพระภาคแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางพระกายหรือทาง
พระวาจาของพระผู้มีพระภาคไม่ได้เลยข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะว่า พระผู้มีพระภาคทรงยัง
ทางที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นทรงยังทางที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดมี ทรงบอกทางที่ยังไม่มีผู้บอก เป็นผู้
ทรงรู้ทางทรงรู้แจ้งทาง ทรงฉลาดในทาง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สาวกทั้งหลายในบัดนี้เป็นผู้
เดินตามทาง บัดนี้แลขอปวารณาพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ
อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของข้าพระองค์บ้างหรือ ฯ