พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/235/273      
      สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
      
     
 
    
        
          
            	บุคคลผู้มักมาก มีความคับแค้น ยังเป็นไปตามตัณหา ดับความเร่าร้อน
	ไม่ได้ แม้หากว่าพึงเป็นผู้ติดตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้หาความหวั่นไหว
	มิได้ ผู้ดับความเร่าร้อนได้แล้วไซร้ บุคคลนั้นผู้กำหนัดยินดี ชื่อว่าพึง
	เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ปราศจากความกำหนัดยินดี เพียงในที่ไกล
	เท่านั้น ส่วนบุคคลใดเป็นบัณฑิต รู้ธรรมด้วยปัญญาเป็นเครื่องรู้ธรรม
	อันยิ่ง เป็นผู้หาความหวั่นไหวมิได้ สงบระงับ เปรียบเหมือนห้วงน้ำ
	ที่ไม่มีลมฉะนั้น บุคคลนั้นผู้หาความหวั่นไหวมิได้ ทั้งดับความเร่าร้อน
	ได้แล้ว ผู้ไม่กำหนัดยินดี ชื่อว่าพึงเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หา
	ความหวั่นไหวมิได้ ทั้งดับความเร่าร้อนได้แล้ว ปราศจากความกำหนัด
	ยินดี ในที่ใกล้แท้ ฯ
	 จบสูตรที่ ๓
	๔. อัคคิสูตร
 [๒๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฟ ๓ กองนี้ ๓ กองเป็นไฉน คือ ไฟคือราคะ ๑ ไฟ
คือโทสะ ๑ ไฟคือโมหะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฟ ๓ กองนี้แล ฯ
	ไฟคือราคะ ย่อมเผาสัตว์ผู้กำหนัดแล้วหมกมุ่นแล้วในกามทั้งหลาย
	ส่วนไฟคือโทสะ ย่อมเผานรชนผู้พยาบาทมีปรกติฆ่าสัตว์ ส่วนไฟ
	คือโมหะ ย่อมเผานรชนผู้ลุ่มหลงไม่ฉลาดในอริยธรรม ไฟ ๓ กองนี้
	ย่อมตามเผาหมู่สัตว์ผู้ไม่รู้สึกว่าเป็นไฟ ผู้ยินดียิ่งในกายตน ทั้งในภพนี้
	และภพหน้าสัตว์เหล่านั้นย่อมพอกพูนนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน
	อสุรกายและปิตติวิสัย เป็นผู้ไม่พ้นไปจากเครื่องผูกแห่งมาร ส่วนสัตว์
	เหล่าใดประกอบความเพียรในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง
	กลางคืนกลางวัน สัตว์เหล่านั้นผู้มีความสำคัญอารมณ์ว่าไม่งามอยู่เป็น
	นิจ ย่อมดับไฟ คือ ราคะได้ ส่วนสัตว์ทั้งหลายผู้สูงสุดในนรชน
	ย่อมดับไฟคือโทสะได้ด้วยเมตตาและดับไฟ คือ โมหะได้ด้วยปัญญา