พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/237/757 758 759
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อยู่ พระสาวกทั้งหลายย่อมนั่งห้อมล้อมพระโคดม ผู้เป็นมุนี ซึ่ง
สมบูรณ์ด้วยพระคุณทั้งปวงอย่างนี้ ผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์ ผู้ประกอบด้วย
พระคุณเป็นอเนกประการ ดังนี้ ฯ
คัคคราสูตรที่ ๑๑
[๗๕๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่ริมฝั่งสระบัวชื่อว่า คัคครา เขตนคร
จัมปา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป อุบาสกประมาณ ๗๐๐ คน และเทวดา
หลายพันองค์ ฯ
นัยว่า พระผู้มีพระภาครุ่งเรืองล่วงภิกษุ อุบาสกและเทวดาเหล่านั้น ด้วยพระวรรณะ
และด้วยพระยศ ฯ
[๗๕๘] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะ มีความคิดดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคนี้แล
ประทับอยู่ที่ฝั่งสระบัวชื่อว่าคัคครา เขตนครจัมปา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป
อุบาสกประมาณ ๗๐๐ คน และเทวดาหลายพันองค์นัยว่า พระผู้มีพระภาครุ่งเรืองล่วงภิกษุ
อุบาสกและเทวดาเหล่านั้น ด้วยพระวรรณะและด้วยพระยศ อย่ากระนั้นเลย เราพึงชมเชย
พระผู้มีพระภาค ณ ที่เฉพาะพระพักตร์ ด้วยคาถาอันสมควรเถิด ฯ
ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะ ลุกขึ้นจากอาสนะ ทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนม
อัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่แล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค
เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์ ข้าแต่พระสุคต เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า เนื้อความนั่นจงแจ่มแจ้งกะเธอเถิด วังคีสะ ฯ
[๗๕๙] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะ ได้ชมเชยพระผู้มีพระภาค ณ ที่เฉพาะพระพักตร์
ด้วยคาถาอันสมควรว่า
พระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งปราศจากมลทิน ย่อมแจ่มกระจ่างในท้องฟ้า
ซึ่งปราศจากเมฆฝน ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระรัศมีซ่านออกแต่
พระสรีรกาย ผู้เป็นมหามุนี พระองค์ย่อมรุ่งเรืองล่วงสรรพสัตว์โลก
ด้วยพระยศ ฉันนั้น ดังนี้ ฯ