พระสุตตันตปิฎกไทย: 24/237/164

สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
เล่ม 24
หน้า 237
เป็นเหตุบ้าง มีโมหะเป็นเหตุบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลภะเป็นแดนเกิดแห่งเหตุของกรรม โทสะเป็นแดนเกิดแห่งเหตุของกรรม โมหะเป็นแดนเกิดแห่งเหตุของกรรม ความสิ้นไปแห่ง เหตุของกรรม ย่อมมีได้เพราะความสิ้นไปแห่งโลภะ ความสิ้นไปแห่งเหตุของกรรม ย่อมมีได้ เพราะความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งเหตุของกรรม ย่อมมีได้เพราะความสิ้นไปแห่ง โมหะด้วยประการดังนี้แล ฯ จบสูตรที่ ๘ สปริกกมนสูตร
[๑๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมนี้ควรงดเว้น มิใช่ธรรมที่ไม่ควรงดเว้นดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ธรรมนี้ควรงดเว้น มิใช่ธรรมที่ไม่ควรงดเว้นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย การงดเว้น จากการฆ่าสัตว์ของบุคคลผู้ฆ่าสัตว์ เป็นการงดเว้นอย่างหนึ่งการงดเว้นจากการลักทรัพย์ของ บุคคลผู้ลักทรัพย์ เป็นการงดเว้นอย่างหนึ่ง การงดเว้นจากการประพฤติผิดในกามของบุคคลผู้ ประพฤติผิดในกาม เป็นการงดเว้นอย่างหนึ่ง การงดเว้นจากการพูดเท็จของบุคคลผู้พูดเท็จ เป็น การงดเว้นอย่างหนึ่ง การงดเว้นจากการพูดส่อเสียดของบุคคลผู้พูดส่อเสียด เป็นการงดเว้น อย่างหนึ่งการงดเว้นจากการพูดคำหยาบของบุคคลผู้พูดคำหยาบ เป็นการงดเว้นอย่างหนึ่งการ งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อของบุคคลผู้พูดเพ้อเจ้อ เป็นการงดเว้นอย่างหนึ่งความไม่อยากได้ของ ผู้อื่นของบุคคลผู้มีความอยากได้ของผู้อื่น เป็นการงดเว้นอย่างหนึ่ง ความไม่ปองร้ายของบุคคลผู้ ปองร้าย เป็นการงดเว้นอย่างหนึ่ง ความเห็นชอบของบุคคลผู้มีความเห็นผิด เป็นการงดเว้น อย่างหนึ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลายการงดเว้นย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ธรรมนี้ควรงดเว้น มิใช่ธรรม ที่ไม่ควรงดเว้นด้วยประการอย่างนี้แล ฯ จบสูตรที่ ๙