พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/241/768 769 770 771 772
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
กัสสป ถึงแม้ท่านจักทรงประทีปอันโพลงตั้ง ๑๐ ดวง เขาก็จักไม่เห็น
รูป เพราะจักษุ (คือญาณ) ของเขาไม่มี ฯ
ลำดับนั้น ท่านกัสสปโคตร ผู้อันเทวดานั้นให้สังเวช ถึงซึ่งความสลดใจแล้ว ฯ
สัมพหุลสูตรที่ ๔
[๗๖๘] สมัยหนึ่ง ภิกษุมากด้วยกัน พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล
ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นอยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาสแล้วหลีกไปสู่จาริก ฯ
[๗๖๙] ครั้งนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ในแนวป่านั้น เมื่อไม่เห็นภิกษุเหล่านั้นก็คร่ำครวญถึง
ได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า
ความสนิทสนมย่อมปรากฏประดุจความไม่ยินดีเพราะเห็นภิกษุเป็น
อันมากในอาสนะอันสงัด ท่านเหล่านั้น เป็นพหุสูตมีถ้อยคำไพเราะ
ท่านเป็นสาวกของพระโคดม ไปที่ไหนกันเสียแล้ว ฯ
[๗๗๐] เมื่อเทวดานั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เทวดาอีกองค์หนึ่งได้กล่าวกะเทวดานั้นด้วย
คาถาว่า
ภิกษุทั้งหลายเป็นผู้ไม่อาลัยที่อยู่ เที่ยวไปเป็นหมู่ประดุจวานร ไปสู่
แคว้นมคธและโกศล บางพวกก็บ่ายหน้าไปสู่แคว้นวัชชี ฯ
อานันทสูตรที่ ๕
[๗๗๑] สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์ พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล
สมัยนั้นแล ท่านพระอานนท์ เป็นผู้มากไปด้วยการรับแขกฝ่ายคฤหัสถ์เกินเวลาอยู่ ฯ
[๗๗๒] ครั้งนั้นแล เทวดาผู้สิงอยู่ในแนวป่านั้น มีความเอ็นดู ใคร่ประโยชน์แก่ท่าน
พระอานนท์ ใคร่จะให้ท่านสังเวชจึงเข้าไปหาถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านด้วยคาถาว่า