พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/242/773 774 775 776 777 778
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ท่านเข้าไปสู่ที่รกคือโคนต้นไม้แล้ว จงใส่ใจถึงพระนิพพาน โคตมะ
ท่านจงเพ่งฌาน อย่าประมาท ถ้อยคำที่สนทนาของท่านจักทำอะไรได้ ฯ
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ เป็นผู้อันเทวดานั้นให้สังเวชถึงซึ่งความ
สลดใจแล้วแล ฯ
อนุรุทธสูตรที่ ๖
[๗๗๓] สมัยหนึ่ง ท่านพระอนุรุทธพำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล ฯ
[๗๗๔] ครั้งนั้นแล เทวดาชั้นดาวดึงส์องค์หนึ่งชื่อชาลิ นีเป็นภรรยาเก่าของ
ท่านพระอนุรุทธ เข้าไปหาท่านถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านด้วยคาถาว่า
ท่านจงตั้งจิตของท่านไว้ในหมู่ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ซึ่งพรั่งพร้อมด้วย
อารมณ์อันน่าใคร่ทั้งปวง ที่ท่านเคยอยู่ในกาลก่อนท่านจะเป็นผู้อันหมู่
เทวดาแวดล้อมเป็นบริวาร ย่อมงดงาม ฯ
[๗๗๕] อ. เหล่านางเทพกัลยาผู้มีคติอันทราม ดำรงมั่นอยู่ในกายของตน
สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น แม้เป็นผู้มีคติอันทรามก็ถูกนางเทพกัลยา
ปรารถนา ฯ
[๗๗๖] ท. เหล่าสัตว์ผู้ไม่ได้เห็นที่อยู่อันเป็นที่น่าเพลิดเพลินของนรเทพชั้น
ไตรทศ ผู้มียศ ก็ชื่อว่าไม่รู้จักความสุข ฯ
[๗๗๗] อ. ดูกรเทวดาผู้เขลา ท่านไม่รู้แจ้งตามคำของพระอรหันต์ว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา บังเกิดขึ้น
แล้วย่อมเสื่อมไป การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้เป็นสุข บัดนี้
การอยู่ครอบครองของเราไม่มีอีกต่อไป ตัณหาประดุจดังว่าข่ายในหมู่
เทพของเราก็ไม่มีสงสารคือชาติสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่ ไม่มีอีก
ต่อไป ฯ
นาคทัตตสูตรที่ ๗
[๗๗๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระนาคทัตตะ พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล
สมัยนั้นแล ท่านพระนาคทัตตะเข้าไปสู่บ้านแต่เช้าตรู่และกลับมาหลังเที่ยง ฯ