พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/243/779 780 781 782 783

สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
เล่ม 15
หน้า 243

[๗๗๙] ครั้งนั้นแล เทวดาผู้สิงอยู่ในแนวป่านั้น มีความเอ็นดู ใคร่ประโยชน์แก่ท่าน พระนาคทัตตะ ใคร่จะให้ท่านสังเวช จึงเข้าไปหาถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านด้วย คาถาว่า ท่านนาคทัตตะ ท่านเข้าไปแล้วในกาลและกลับมาในกลางวัน(ท่าน) มีปรกติเที่ยวไปเกินเวลา คลุกคลีกับคฤหัสถ์ พลอยร่วมสุขร่วมทุกข์ กับเขา เราย่อมกลัวพระนาคทัตตะ ผู้คะนองสิ้นดี และพัวพันในสกุล ทั้งหลาย ท่านอย่าไปสู่อำนาจของมัจจุราชผู้มีกำลัง ผู้กระทำซึ่งที่สุดเลย ฯ ลำดับนั้น ท่านพระนาคทัตตะ เป็นผู้อันเทวดานั้นให้สังเวชถึงซึ่งความสลดใจแล้วแล ฯ กุลฆรณีสูตรที่ ๘
[๗๘๐] สมัยหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง พำนักอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล สมัยนั้นแล ภิกษุนั้นไปอยู่คลุกคลีในสกุลแห่งหนึ่งเกินเวลา ฯ
[๗๘๑] ครั้งนั้นแล เทวดาผู้สิงอยู่ในราวป่านั้น มีความเอ็นดูใคร่ประโยชน์แก่ภิกษุนั้น ใคร่จะให้เธอสังเวช จึงเนรมิตเพศแห่งหญิงแม่เรือนในตระกูลนั้นเข้าไปหาถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุนั้นด้วยคาถาว่า ชนทั้งหลาย ย่อมประชุมสนทนากันที่ฝั่งแม่น้ำในโรงที่พัก ในสภา และ ในถนน ส่วนเราและท่านเป็นดังรือ ฯ
[๗๘๒] แท้จริงเสียงที่เป็นข้าศึกมีมากอันท่านผู้มีตบะ พึงอดทน ไม่พึงเก้อเขิน เพราะเหตุนั้น เพราะสัตว์หาได้เศร้าหมองด้วยเหตุนั้นไม่ แต่ผู้ใด มักสะดุ้งเพราะเสียงประดุจเนื้อทรายในป่า นักปราชญ์กล่าวผู้นั้นว่า มีจิตเบา วัตรของเขาย่อมไม่สมบูรณ์ ฯ วัชชีปุตตสูตรที่ ๙
[๗๘๓] สมัยหนึ่ง ภิกษุวัชชีบุตรรูปหนึ่ง พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งใกล้เมืองเวสาลี สมัยนั้นแล วาระแห่งมหรสพตลอดราตรีทั้งปวงย่อมมีในเมืองเวสาลี ฯ