พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/244/784 785 786 787 788
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
[๗๘๔] ครั้งนั้นแล ภิกษุนั้นได้ฟังเสียงกึกก้องแห่งดนตรี อันบุคคลตีและบรรเลงแล้ว
ในเมืองเวสาลี คร่ำครวญอยู่ ได้ภาษิตคาถานี้ในเวลานั้นว่า
เราเป็นคนๆ เดียวอยู่ในป่า ประดุจท่อนไม้ที่เขาทิ้งแล้วในป่า ฉะนั้น
ใครจะเป็นผู้ลามกกว่าเราในราตรีเช่นนี้หนอ ฯ
[๗๘๕] ลำดับนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ในแนวป่านั้น มีความเอ็นดู ใคร่ประโยชน์แก่เธอ
ใคร่จะยังเธอให้สลดจึงเข้าไปหาจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะเธอด้วยคาถาว่า
ท่านเป็นคนๆ เดียวเท่านั้นอยู่ในป่า ประดุจท่อนไม้ที่เขาทิ้งแล้วในป่า
ฉะนั้น เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมากย่อมรักท่าน ประดุจ
สัตว์นรกรักผู้ที่จะไปสวรรค์ ฉะนั้น ฯ
ลำดับนั้นแล ภิกษุนั้นเป็นผู้อันเทวดาให้สังเวชถึงซึ่งความสลดแล้วแล ฯ
สัชฌายสูตรที่ ๑๐
[๗๘๖] สมัยหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง พำนักอยู่ในป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล สมัยนั้น
ภิกษุนั้น นัยว่าเมื่อก่อนเป็นผู้มากไปด้วยการสาธยายเกินเวลาอยู่ สมัยต่อมา เธอเป็นผู้ขวน
ขวายน้อยเป็นผู้นิ่ง ยังกาลให้ล่วงไป ฯ
[๗๘๗] ครั้งนั้นแล เทวดาผู้สิงอยู่ในแนวป่านั้น ไม่ได้ฟังธรรมของเธอ จึงเข้าไปหา
ถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะเธอด้วยคาถาว่า
ภิกษุ ท่านอยู่ร่วมกับภิกษุทั้งหลาย ย่อมไม่สาธยายบทแห่ง พระธรรม
เพราะเหตุไร บุคคลฟังธรรมแล้วย่อมได้ความเลื่อมใส ผู้กล่าวธรรม
ย่อมได้รับความสรรเสริญในทิฏฐธรรมเทียว ฯ
[๗๘๘] ภิ. ความพอใจในบทแห่งพระธรรมได้มีแล้วในกาลก่อน จนถึงกาลที่
เรามาร่วมด้วยวิราคะและเพราะเรามาร่วมด้วยวิราคะแล้ว สัตบุรุษ
ทั้งหลายรู้ทั่วถึง รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ อย่างใดอย่าง
หนึ่งแล้ว ได้กล่าวการเสียสละ(อารมณ์นั้นๆ) เสีย ฯ