พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/246/793 794 795 796

สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
เล่ม 15
หน้า 246
ปากตินทริยสูตรที่ ๑๓
[๗๙๓] สมัยหนึ่ง ภิกษุมากด้วยกัน พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล ล้วนเป็นผู้ฟุ้งซ่าน เห่อเหิม ขี้โอ่ ปากกล้า พูดเหลวไหลมีสติฟั่นเฟือน ไม่รู้สึกตน ไม่ หนักแน่น จิตไม่มั่นคง มีอินทรีย์อันเปิดเผย ฯ
[๗๙๔] ครั้งนั้นแล เทวดาผู้สิงอยู่ในแนวป่านั้น มีความเอ็นดู ใคร่ประโยชน์แก่ภิกษุเหล่านั้น หวังจะให้พวกเธอสังเวชจึงเข้าไปหาถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะพวกเธอด้วยคาถาว่า ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสาวก ของพระสมณโคดมในกาลก่อน มีปกติเป็นอยู่ ง่าย ไม่มักได้ แสวงหาบิณฑบาต
[ตามได้] ไม่มักได้แสวงหาเสนาสนะ
[ตามได้] ท่านเหล่านั้นรู้ความไม่เที่ยงในโลกแล้ว ได้กระทำที่สุดแห่ง ทุกข์แล้ว
[ส่วนพวกท่าน] ทำตนให้เป็นผู้เลี้ยงยาก ประดุจผู้เอาเปรียบ ชาวบ้านในบ้าน กินแล้วๆ ก็นอนหมกมุ่นอยู่ในเรือนของคนอื่น เรา ขอกระทำอัญชลีแก่พระสงฆ์แล้วขอกล่าวถึงภิกษุที่ควรกล่าวบางพวก ในพระศาสนานี้ ท่านเหล่านั้นถูกเขาทอดทิ้งหาที่พึ่งมิได้ เหมือนอย่าง คนที่ตายแล้ว ถูกเขาทอดทิ้งไว้ในป่าช้า ฉะนั้น เรากล่าวหมายถึงภิกษุ จำพวกที่เป็นผู้ประมาทอยู่ แต่ท่านเหล่าใดเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ เราขอ กระทำการนอบน้อมแก่ท่านเหล่านั้น ฯ ลำดับนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้อันเทวดานั้นให้สังเวชถึงซึ่งความสลดใจแล้วแล ฯ ปทุมปุบผสูตรที่ ๑๔
[๗๙๕] สมัยหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล สมัย นั้นแล ภิกษุนั้นกลับจากบิณฑบาตภายหลังเวลาฉัน ลงสู่สระโบกขรณีแล้วสูดดมดอกปทุม ฯ
[๗๙๖] ครั้งนั้นแล เทวดาผู้สิงอยู่ในแนวป่านั้น มีความเอ็นดู ใคร่ประโยชน์แก่ภิกษุ นั้น หวังจะให้เธอสลด จึงเข้าไปหาถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะเธอด้วยคาถาว่า ท่านสูดดมดอกไม้ที่เกิดในน้ำซึ่งใครๆ ไม่ได้ให้แล้ว นี้เป็นองค์อันหนึ่ง แห่งความเป็นขะโมย ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นผู้ขะโมยกลิ่น ฯ