พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/250/810 811 812 813
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ราคะแลโทสะ มีอะไรเป็นเหตุความไม่ยินดี ความยินดี และความ
สยดสยอง เกิดแต่อะไรความตรึกในใจเกิดแต่อะไรแล้วดักจิตไว้ได้
เหมือนพวกเด็กดักกา ฉะนั้น ฯ
[๘๑๐] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ราคะแลโทสะมีอัตภาพนี้เป็นเหตุ ความไม่ยินดี ความยินดี และความ
สยดสยองเกิดแต่อัตภาพนี้ ความตรึกในใจเกิดแต่อัตภาพนี้แล้ว ดักจิต
ไว้ได้เหมือนพวกเด็กดักกา ฉะนั้น ฯ
อกุศลวิตกเป็นอันมาก เกิดแต่ความเยื่อใยคือตัณหา เกิดขึ้นในตน
แล้วแผ่ซ่านไปในวัตถุกามทั้งหลาย เหมือนย่านไทร เกิดแต่ลำต้น
ไทรแล้วแผ่ซ่านไปในป่า ฉะนั้น ฯ
ชนเหล่าใดย่อมรู้ อัตภาพนั้นว่าเกิดแต่สิ่งใด ชนเหล่านั้นย่อมบรรเทา
เหตุเกิดนั้นเสียได้ ดูกรยักษ์ ท่านจงฟัง ชนเหล่านั้นย่อมข้ามห้วง
กิเลสนี้ ซึ่งข้ามได้ยาก และไม่เคยข้ามเพื่อความไม่มีภพอีกต่อไป ฯ
มณิภัททสูตรที่ ๔
[๘๑๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เจดีย์ชื่อมณิมาฬกะ อันเป็นที่ครอบครอง
ของยักษ์ชื่อมณีภัท ในแคว้นมคธ ฯ
[๘๑๒] ครั้งนั้นแล ยักษ์ชื่อมณิภัททะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว
ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ความเจริญย่อมมีแก่คนมีสติทุกเมื่อ คนมีสติย่อมได้ความสุข ความดี
ย่อมมีแก่คนมีสติเป็นนิตย์ และคนมีสติย่อมหลุดพ้นจากเวร ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ความเจริญย่อมมีแก่คนมีสติทุกเมื่อ คนมีสติย่อมได้ความสุข ความดี
ย่อมมีแก่คนมีสติเป็นนิตย์ แต่คนมีสติยังไม่หลุดพ้นจากเวร ฯ
[๘๑๓] แต่ผู้ใดมีใจยินดีในความไม่เบียดเบียนตลอดวันและคืนทั้งหมด และ
เป็นผู้มีส่วนแห่งเมตตาในสรรพสัตว์ ผู้นั้นย่อมไม่มีเวรกับใครๆ ฯ