พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/255/829 830 831
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ครั้งนั้นแล ความมืดได้หายไป แสงสว่างปรากฏขึ้นแก่ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี
ความกลัว ความหวาดเสียว และขนพองสยองเกล้าก็ระงับไป ฯ
[๘๒๙] แม้ครั้งที่ ๓ แสงสว่างหายไป ความมืดปรากฏขึ้นแก่ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี
ความกลัว ความหวาดเสียว และขนพองสยองเกล้าบังเกิดขึ้น ท่านคฤหบดีจึงใคร่ที่จะกลับ
เสียจากที่นั้นอีก ฯ
แม้ครั้งที่ ๓ ยักษ์ชื่อสิวกะไม่ปรากฏร่างได้ส่งเสียงให้ได้ยินว่า
ช้างแสนหนึ่ง ม้าแสนหนึ่ง ฯลฯ ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ อันจำแนก
แล้ว ๑๖ ครั้ง แห่งการยกย่างเท้าไปก้าวหนึ่งท่านจงก้าวหน้าไปเถิด
คฤหบดี ท่านจงก้าวหน้าไปเถิดคฤหบดีการก้าวหน้าไปของท่านประเสริฐ
การถอยหลังไม่ประเสริฐเลย ฯ
ครั้งนั้นแล ความมืดได้หายไป แสงสว่างได้ปรากฏขึ้นแก่ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี
ความกลัว ความหวาดเสียว และขนพองสยองเกล้าก็ระงับไป ฯ
[๘๓๐] ครั้งนั้นแล อนาถบิณฑิกคฤหบดีเดินเข้าไปถึงสีตวัน ฯ
สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี เสด็จจงกรมอยู่ในที่
แจ้ง พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นอนาถบิณฑิกคฤหบดีผู้มาแต่ไกลครั้นแล้วเสด็จลงจากที่
จงกรมประทับบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วได้ตรัสเรียกอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า มานี่เถิดสุทัตตะ ฯ
ครั้งนั้นแล อนาถบิณฑิกคฤหบดีคิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงทักเราโดยชื่อ จึงหมอบลง
แทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้าในที่นั้นเอง แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระ
ภาคผู้เจริญ พระองค์ประทับอยู่เป็นสุขหรือพระเจ้าข้า ฯ
[๘๓๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
พราหมณ์ผู้ดับกิเลสเสียได้แล้วไม่ติดอยู่ในกามทั้งหลาย เป็นผู้เย็น
ปราศจากอุปธิ ย่อมอยู่เป็นสุขเสมอไป ผู้ที่ตัดตัณหาเครื่องเกี่ยวข้องได้
หมดแล้ว กำจัดความกระวนกระวายในใจเสียได้ เป็นผู้สงบอยู่เป็นสุข
เพราะถึงสันติด้วยใจ ฯ