พระสุตตันตปิฎกไทย: 20/269/570
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
ขอประทานพระวโรกาสเถิด ข้าพระองค์เห็นแต่มาตุคามโดยมาก เมื่อตายไปเข้าถึงอบาย ทุคติ
วินิบาต นรกด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มาตุคาม
ประกอบด้วยธรรมเท่าไรหนอ เมื่อตายไป จึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก พระผู้มีพระภาค
ตรัสตอบว่า ดูกรอนุรุทธะ มาตุคามประกอบด้วยธรรม ๓ อย่าง เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก ธรรม๓ อย่างเป็นไฉน คือ มาตุคามในโลกนี้ เวลาเช้า มีใจอันมลทิน
คือความตระหนี่กลุ้มรุม อยู่ครองเรือน ๑ เวลาเที่ยง มีใจอันความริษยากลุ้มรุม อยู่ครองเรือน ๑
เวลาเย็น มีใจอันกามราคะกลุ้มรุม อยู่ครองเรือน ๑ ดูกรอนุรุทธะ มาตุคามผู้ประกอบด้วยธรรม
๓ อย่างนี้แล เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก ฯ
อนุรุทธสูตรที่ ๒
[๕๗๐] ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับ
ท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกล่าวว่า ขอโอกาสเถิดท่านสารีบุตรผมตรวจดูตลอดพันโลกด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วง
จักษุของมนุษย์ ก็ผมปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ตั้งสติไม่หลงลืม กายสงบระงับไม่ระส่ำ
ระสาย จิตตั้งมั่นเป็นเอกัคคตา เออก็ไฉนเล่า จิตของผมจึงยังไม่พ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านอนุรุทธะ การที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า เราตรวจดูตลอดพันโลก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ดังนี้ เป็นเพราะมานะของท่าน การที่ท่านคิดอย่างนี้
ว่า ก็เราปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อนตั้งสติมั่นไม่หลงลืม กายสงบระงับไม่ระส่ำระสาย จิต
ตั้งมั่นเป็นเอกัคคตาดังนี้ เป็นเพราะอุทธัจจะของท่าน ถึงการที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า เออก็ไฉนเล่า
จิตของเรายังไม่พ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้ ก็เป็นเพราะกุกกุจจะของท่านเป็นความดีหนอ
ท่านพระอนุรุทธะจงละธรรม ๓ อย่างนี้ ไม่ใส่ใจธรรม ๓อย่างนี้ แล้วน้อมจิตไปในอมตธาตุ
ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะต่อมาได้ละธรรม ๓ อย่างนี้ ไม่ใส่ใจถึงธรรม ๓ อย่างนี้ น้อมจิต
ไปในอมตธาตุ ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะ หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท
มีตนอันส่งไปอยู่ ไม่นานนัก ได้ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลาย