พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/27/105 106 107 108 109
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
[๑๐๕] (พระผู้มีพระภาคตรัส)
ดูกรภิกษุ แม้พวกเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น ย่อมเป็นผู้อันบัณฑิตพึง
สรรเสริญ พวกเทวดาและมนุษย์เหล่าใด ย่อมไหว้ขีณาสวภิกษุนั้น ผู้พ้น
แล้วอย่างนั้น ดูกรภิกษุ แม้พวกเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นรู้ธรรมแล้ว
ละวิจิกิจฉาแล้ว ก็ย่อมเป็นผู้ล่วงแล้วซึ่งธรรมเป็นเครื่องข้อง ฯ
อุชฌานสัญญีสูตรที่ ๕
[๑๐๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ
บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว พวกเทวดาผู้มีความ
มุ่งหมายเพ่งโทษมากด้วยกัน มีวรรณงาม ยังพระ วิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างเข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วจึงได้ลอย อยู่ในอากาศ ฯ
[๑๐๗] เทวดาตนหนึ่ง ครั้นลอยอยู่ในอากาศแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ใน สำนักพระผู้มี
พระภาคว่า
บุคคลใดประกาศตนอันมีอยู่โดยอาการอย่างอื่น ให้เขารู้โดยอาการอย่าง
อื่น บุคคลนั้นลวงปัจจัยเขากินด้วยความเป็นขโมย เหมือนความลวงกิน
แห่งพรานนก ก็บุคคลทำกรรมใดควรพูดถึงกรรมนั้น ไม่ทำกรรมใด ก็
ไม่ควรพูดถึงกรรมนั้นบัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้จักบุคคลนั้น ผู้ไม่ทำ มัว
แต่พูดอยู่ ฯ
[๑๐๘] พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาทั้งหลายนี้ว่า
ใครๆ ไม่อาจดำเนินปฏิปทานี้ด้วยเหตุสักว่าพูด หรือฟังส่วนเดียว บุคคล
ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ผู้มีฌาน ย่อมพ้นจากเครื่องผูกของมาร ด้วยปฏิปทา
อันมั่นคงนี้บุคคลผู้มีปัญญาทั้งหลาย ทราบความเป็นไปของโลกแล้วรู้
แล้ว เป็นผู้ดับกิเลส ข้ามตัณหาเป็นเครื่องเกี่ยวข้องในโลกแล้วย่อมไม่
พูดโดยแท้ ฯ
[๑๐๙] ในลำดับนั้นแล เทวดาเหล่านั้นลงมายืนบนแผ่นดิน หมอบลงใกล้พระบาททั้ง
สองของพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ โทษ